| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อสุขภาพได้ที่นี่
ผลิต ยางซิลิโคน แบบเนื้อคน เสริมภายนอกทุกส่วน
ตามขนาดที่ต้องการ
By..Krissawat Sawangkarn
Tel : 084-7663722
Fax : 02-9833645
E-Mail : v-tech2013@hotmail.co.th
Goo Beauty Search
วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
V-Max & Phyto-Max เสริมสร้างสุขภาพที่ดี
วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
3 สมุนไพร ช่วยบำบัดอาการปวดประจำเดือน
3 สมุนไพร ช่วยบำบัดอาการปวดประจำเดือน (Woman's Story)
สาว ๆ ที่มักพึ่งยาแก้ปวดในการช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนเป็นประจำ ต่อนี้ไปไม่จำเป็นอีกแล้วค่ะ เพียงคุณหันมาทานสมุนไพรทั้ง 3 ชนิดที่นำมาฝากกันในวันนี้ อาการปวดจำเดือนก็จะหายไปแล้วค่ะ
ตังกุย
มีผลช่วยในการดูแลสุขภาพของมดลูกผู้หญิงเราโดยตรงทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยวิตามินบี 12 และมีกรดโฟลิกสูง ซึ่งช่วยบำรุงเลือดได้อย่างดี ถ้าหากทานเป็นประจำจะช่วยลดอาการปวดท้อง ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ และช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนของผู้หญิงได้อีกด้วย
ใบตำลึง
มีแมกนีเซียม และธาตุเหล็ก ที่ช่วยไม่ปวดเกร็งกล้ามเนื้อหรือลดอาการตะคริว จึงมีส่วนช่วยในการลดอาการปวดเกร็งช่วงท้องได้ด้วย นอกจากนี้แมกนีเซียมยังพบได้อีกในเนื้อสัตว์ และตับหมู
น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส
ในน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสจะมีกรดไขมันที่ชื่อว่า กรดแกมม่า ไลโนเลนิก ซึ่งมีคุณสมบัติลดหรือต้านการอักเสบ ช่วยรักษาระดับฮอร์โมนในร่างกายของผู้หญิง แถมยังช่วยลดอาการปวดเกร็งท้อง ลดการปวดหน้าอก และอาการตัวบวมช่วงก่อนหรือช่วงมีประจำเดือนได้
จริง ๆ การทานยาแก้ปวดต่อเนื่องกันเป็นเวลาหลายวัน ไม่เป็นผลดีต่อร่างกายคุณนะคะ ถึงแม้ว่าจะสะดวกรวดเร็ว แต่ว่าวิธีทางธรรมชาติก็น่าจะดีกว่า และไม่ผลข้างเคียงใด ๆ ตามมาด้วยค่ะ
-hv,^]
วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
รอบรู้เรื่องใกล้ตัว : เสื้อชั้นใน
พูดถึงเสื้อชั้นใน หรือ Brassiere แล้ว ท่านสุภาพสตรีทุกท่านคงรู้จักกันดี ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่สิ่งที่จะใส่โชว์เหมือนเครื่องแต่งกายอื่นๆ แต่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สาวน้อยสาวใหญ่ทุกท่านให้ความเอาใจใส่กันอย่างยิ่ง การเลือกและใส่เสื้อชั้นในนั้น ก็ดูเป็นรสนิยมอย่างหนึ่ง ลองมาทำความรู้จักกับเสื้อชั้นในกันสักเล็กน้อยดีไหม
เสื้อชั้นในนั้นได้มีการใช้กันตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ ประมาณ 6 พันกว่าปีก่อนเพื่อใส่ในการออกกำลังกาย หรือ ทำให้เต้านมของสตรีดูเล็กลงคล้ายบุรุษ แต่ที่เสื้อชั้นในมีลักษณะคล้ายกับที่ใส่ในปัจจุบัน ได้เริ่มขึ้นเมื่อ 200 กว่าปีก่อน โดยช่างตัดเสื้อชาวฝรั่งเศส ซึ่งผลิตเสื้อชั้นในเป็น 2 ส่วน และต่อมา Mary Phelps Jacob ได้นำมาจดลิขสิทธิ์ และผลิตจนเป็นที่แพร่หลายในอเมริกา เสื้อชั้นในได้มีการพัฒนาทั้งรูปแบบ รูปทรง และวัสดุ มาเรื่อยๆ ตามสมัยนิยมจนเป็นลักษณะที่เห็นกันในปัจจุบัน
ประโยชน์ของการใส่เสื้อชั้นในสตรีนั้น มีทั้งในด้านการแพทย์และทางสังคม ในทางการแพทย์นั้น เสื้อชั้นในจะสามารถช่วยพยุงเต้านมที่คล้อยตัวหรือหย่อนให้กระชับและลดการแกว่งตัวระหว่างการเคลื่อนไหว ทำให้ลดความไม่สบายตัวหรือ อาการเจ็บที่เกิดจากการเคลื่อนไหวมากเกินไปของเต้านม ส่วนจะช่วยป้องกันการคล้อยตัวหรือการหย่อนยานของเต้านมนั้นยังไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด ในทางสังคมนั้น เสื้อชั้นในช่วยทำให้เต้านมของสตรีดูสวยงาม ดูดี และ เป็นแรงดึงดูดความสนใจมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ทำให้เจ้าของมีความมั่นใจมากขึ้น ดังนั้น เสื้อชั้นในจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของการแต่งกายที่ได้รับการเอาใจใส่ และมีการพัฒนาเป็นเสื้อชั้นในชนิดต่างๆให้เหมาะสมกับกิจกรรม และ โอกาส เช่น เสื้อชั้นในสำหรับใส่เล่นกีฬา สำหรับงานราตรี สำหรับใส่นอน สำหรับวัยรุ่น สำหรับคนตั้งครรภ์ ฯลฯ
การเลือกเสื้อชั้นในให้เหมาะสมนั้น มีปัจจัยที่ควรคำนึงถึง นอกจากเรื่องขนาด cup size และ เนื้อผ้าแล้ว ยังต้องดูรูปทรงของเสื้อชั้นใน เพราะในแต่ละแบบนั้น ได้รับการออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ทั้งแบบเต็มตัว ไร้สาย เสริมทรงและดันทรง ฯลฯ
หลักทั่วไป คือ ใส่แล้วต้องไม่คับหรือรัดจนแน่นเกิน แนวเสื้อชั้นในรอบตัวควรอยู่ในแนวราบเสมอกันไม่ถูกรั้งให้สูงขึ้น เนื้อเต้านมต้องไม่ถูกกดทับ หรือล้นออกทางด้านล่างและ ด้านข้าง ส่วนทางด้านบนของเสื้อชั้นในควรจะราบไปกับเนื้อเต้านมเมื่อสวมใส่
นอกจากนี้ ขนาดของเต้านมยังมีการเปลี่ยนแปลงตามอายุ น้ำหนักตัว และ รอบประจำเดือน ดังนั้น อาจต้องมีเปลี่ยนเสื้อชั้นในให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายที่เปลี่ยนไป
ที่มา .. รพ.ศิริราช
3 สมุนไพร ช่วยบำบัดอาการปวดประจำเดือน
3 สมุนไพร ช่วยบำบัดอาการปวดประจำเดือน
3 สมุนไพร ช่วยบำบัดอาการปวดประจำเดือน (Woman's Story)
สาว ๆ ที่มักพึ่งยาแก้ปวดในการช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนเป็นประจำ ต่อนี้ไปไม่จำเป็นอีกแล้วค่ะ เพียงคุณหันมาทานสมุนไพรทั้ง 3 ชนิดที่นำมาฝากกันในวันนี้ อาการปวดจำเดือนก็จะหายไปแล้วค่ะ
ตังกุย
มีผลช่วยในการดูแลสุขภาพของมดลูกผู้หญิงเราโดยตรงทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยวิตามินบี 12 และมีกรดโฟลิกสูง ซึ่งช่วยบำรุงเลือดได้อย่างดี ถ้าหากทานเป็นประจำจะช่วยลดอาการปวดท้อง ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ และช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนของผู้หญิงได้อีกด้วย
ใบตำลึง
มีแมกนีเซียม และธาตุเหล็ก ที่ช่วยไม่ปวดเกร็งกล้ามเนื้อหรือลดอาการตะคริว จึงมีส่วนช่วยในการลดอาการปวดเกร็งช่วงท้องได้ด้วย นอกจากนี้แมกนีเซียมยังพบได้อีกในเนื้อสัตว์ และตับหมู
น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส
ในน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสจะมีกรดไขมันที่ชื่อว่า กรดแกมม่า ไลโนเลนิก ซึ่งมีคุณสมบัติลดหรือต้านการอักเสบ ช่วยรักษาระดับฮอร์โมนในร่างกายของผู้หญิง แถมยังช่วยลดอาการปวดเกร็งท้อง ลดการปวดหน้าอก และอาการตัวบวมช่วงก่อนหรือช่วงมีประจำเดือนได้
จริง ๆ การทานยาแก้ปวดต่อเนื่องกันเป็นเวลาหลายวัน ไม่เป็นผลดีต่อร่างกายคุณนะคะ ถึงแม้ว่าจะสะดวกรวดเร็ว แต่ว่าวิธีทางธรรมชาติก็น่าจะดีกว่า และไม่ผลข้างเคียงใด ๆ ตามมาด้วยค่ะ
ข้อมูลจาก women, s
5 อาการบ่งบอกสัญญาณโรคพุ่มพวง หรือ SLE
5 อาการบ่งบอกสัญญาณโรคพุ่มพวง หรือ SLE
5 อาการบ่งบอกสัญญาณโรคพุ่มพวง...3 ปัจจัยเสี่ยงกระตุ้นอาการกำเริบ (Be Well)
โดย อ.มงคลศิลป์ บุญเย็น ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์การแพทย์ทางเลือกเพื่อบำบัดมะเร็ง และผู้อำนวยการมูลนิธิการแพทย์ทางเลือกเพื่อมะเร็ง
ผู้ป่วยโรคเอสแอลอี หรือโรคพุ่มพวง แต่ละคนจะมีลักษณะที่แตกต่างกันไป โดยทั่วไปจะมีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ โรคนี้เป็นโรคเรื้อรังที่มีอาการเกิดขึ้นกับหลายอวัยวะ หรือหลายระบบของร่างกาย บางรายจะเกิดอาการขึ้นพร้อม ๆ กัน หรือแสดงออกเพียงอวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง หากมีไข้ต่ำ ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุเป็นเวลานาน มีอาการปวดตามข้อ มีผื่นขึ้นบริเวณใบหน้า หรือมีผื่นคันบริเวณที่ถูกแสงแดด ผมร่วงมากผิดปกติ มีอาการบวมตามขา หน้าหรือหนังตา และโดยเฉพาะผู้หญิงที่ประจำเดือนขาด หรือไม่มา เหล่านี้อาจสงสัยได้ว่าจะป่วยเป็นเอสแอลอี
ข้อสังเกตอาการของโรคที่สัมพันธ์กับอวัยวะ
อาการทางผิวหนัง
ผู้ป่วยมักมีผื่นแดงขึ้นที่บริเวณใบหน้า บริเวณสันจมูก และโหนกแก้ม 2 ข้าง เป็นรูปคล้ายผีเสื้อ หรือมีผื่นแดงคันบริเวณนอกร่มผ้าที่ถูกแสงแดด หรือมีผื่นขึ้นเป็นวง เป็นแผลเป็นตามใบหน้า หนังศีรษะ หรือบริเวณใบหู มีแผลในปาก โดยเฉพาะบริเวณเพดานปาก นอกจากนี้ยังมีผมร่วงมากขึ้น
อาการทางข้อและกล้ามเนื้อ
ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการปวดข้อ มักเป็นที่ข้อนิ้วมือ ข้อมือ ข้อไหล่ ข้อเข่า หรือข้อเท้า บางครั้งมีบวมแดงร้อนร่วมด้วย
อาการทางไต
ผู้ป่วยมักมีอาการบวมบริเวณเท้า 2 ข้าง ขา หน้า หนังตา เนื่องจากมีอาการอักเสบที่ไต รายที่มีอาการรุนแรงจะมีความดันเลือดสูงขึ้น ปัสสาวะออกน้อยลง ไปจนถึงขั้นไตวายได้ในระยะเวลาอันสั้น
อาการทางระบบเลือด
ผู้ป่วยอาจมีเลือดจาง มีเม็ดเลือดขาวหรือเกล็ดเลือดลดลง ทำให้มีอาการอ่อนเพลีย มีภาวะติดเชื้อง่าย หรือมีจุดเลือดออกตามตัวได้
อาการทางระบบประสาท
ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการชัก หรือมีอาการพูดเพ้อเจ้อไม่รู้เรื่อง หรือคล้ายคนโรคจิตจำญาติพี่น้องไม่ได้ เนื่องจากมีการอักเสบของสมอง หรือหลอดเลือดในสมอง
ปกติแพทย์จะแบ่งความรุนแรงของโรคเอสแอลอี ออกเป็นระดับความรุนแรงน้อย ระดับปานกลาง และมาก ตามระบบของอวัยวะที่เกิดมีอาการ และตามชนิดของอาการที่เกิดขึ้นกับอวัยวะนั้น ๆ เช่น อาการทางผิวหนังมีผื่น หรืออาการทางข้อ มีข้ออักเสบ จัดเป็นความรุนแรงน้อยถึงระดับปานกลาง ยกเว้นอาการบางชนิด เช่น เส้นเลือดอักเสบของผิวหนัง ส่วนอาการที่ระบบไต ระบบเลือดและสมอง จัดเป็นอาการขั้นรุนแรง
อาการ ของโรคเหล่านี้ มักจะแสดงความรุนแรงมาก หรือน้อยภายในระยะเวลา 1-2 ปีแรกจากที่เริ่มมีอาการ หลังจากนั้นมักจะเบาลงเรื่อย ๆ แต่อาจมีอาการกำเริบรุนแรงได้เป็นครั้งคราว
วิธีการรักษาโรค
ผู้ป่วยโรคเอสแอลอีควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรค และอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ถ้าผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรง การใช้ยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล หรือแอสไพริน หรือยาลดการอักเสบก็ควบคุมอาการได้ สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง อาจต้องใช้ยาประเภทสเตียรอยด์ (ยาเพร็ดนิโซโลน) หรือยากดภูมิคุ้มกันในขนาดต่าง ๆ ตามความเหมาะสม ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัย ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นกับความรุนแรงและระบบอวัยวะที่มีการอักเสบ ยาเหล่านี้เป็นยาอันตราย อาจทำให้ผมร่วงหรือหัวล้านได้ เมื่อหยุดยาผมจะงอกขึ้นมาใหม่
แต่การใช้ยาเป็นเพียงการระงับอาการชั่วคราว ผู้ป่วยอาจต้องกินยาตลอดชีวิต ผมเคยเจอคนไข้รายหนึ่งก่อนที่จะมารักษากับผม เขากินยาเป็นเวลานานถึง 28 ปี ส่วนอีกรายกินยามา 22 ปีแล้ว แต่พอมารักษาด้วยสมุนไพรก็หายในระยะเวลา 6 เดือน แพทย์บางท่านอาจใช้ยาคีโมในการรักษาเอสแอลอี ซึ่งก็เป็นการรักษาแบบประคับประคอง แต่อาจไม่หายขาด คนไข้ส่วนใหญ่แทบทุกรายที่มาหาผม ล้วนผ่านการรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันมาก่อน และมีอาการที่เห็นเด่นชัด ตั้งแต่ผมร่วง ใบหน้ามีรอยช้ำ เป็นรอยเหมือนผีเสื้อ ประจำเดือนขาด มีรอยช้ำจ้ำ ๆ บริเวณแขนขา ซึ่งคนเป็นโรคเอสแอสอีจะเกิดรอยช้ำได้ง่ายที่สุด
รักษาเอสแอลอีแบบแพทย์ทางเลือก
ผมอยากให้คนไข้หาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า แพทย์แผนอื่นรักษาโรคเอสแอลอีได้หรือไม่ สำหรับคนไข้ที่มาหาผม แทบจะไม่ต้องซักประวัติเพิ่มเติม บางคนขอรักษา 2 ทาง ผมก็จะแนะนำว่า ไปหาหมอแผนปัจจุบันได้ แต่ให้เก็บยาไว้ก่อน จากนั้น จึงกินยาสมุนไพรของผมซึ่งมีตัวหลักคือ เห็ดหลินจือ กับยาปรับธาตุที่ปรับสภาพฮอร์โมนผู้หญิงให้ปกติ หรือ ถ้าเป็นผู้ชาย ก็จะเป็นยาบำรุงร่างกาย
3 ปัจจัยเสี่ยงพึงระวัง เพื่อเลี่ยงอาการกำเริบ
นอกจากนี้คนไข้ต้องระวังในการรับประทานอาหาร เช่น อาหารต้องห้ามประเภทข้าวเหนียว ที่มีกลูเตน (โปรตีนที่สกัดจากแป้งสาลี ใช้ทำหมี่กึง ขนมปัง หรือส่วนผสมในพิซซ่า) ซึ่งจะไปเร่งให้อาการกำเริบ
และอีกประการที่คนไข้ต้องระวัง คือ แสงแดด หรือ แม้จะเป็นแสงไฟก็ตาม เพราะจะทำให้เกิดอาการผื่นแดง คัน ตามบริเวณมือ และหน้า ได้ จึงควรใส่เสื้อแขนยาวที่ปกปิดแขน ขา และลำตัวได้มิดชิด ใส่หมวกปีกกว้าง ทายาป้องกันแสงแดด และสวมเสื้อสีอ่อนที่ไม่ดูดซับความร้อน
อีกประการที่อาจคิดไม่ถึง คือ ความร้อนจากการปรุงอาหารที่มีรังสีอินฟาเรดถูกปล่อยออกมา ถ้าได้รับความร้อนมาก ๆ ก็เป็นการกระตุ้นให้โรคเอสแอลอีกำเริบได้เช่นกัน
การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยอย่างถูกต้อง เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้การรักษามีประสิทธิภาพ และต้องไม่ปฏิบัติตัวที่จะเป็นการกระตุ้นให้โรคกำเริบขึ้นมาใหม่ เช่น การโดนแสงแดด ตรากตรำทำงานหนัก และอดนอน ถึงแม้ว่าโรคจะสงบลงแล้วเป็นเวลาหลายปี ก็อาจยังมีโอกาสกำเริบใหม่อีกได้ ดัง นั้นจึงต้องเตรียมความพร้อมของร่างกายและจิตใจอยู่เสมอ ด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ รักษาสุขอนามัยให้ดี ทำจิตใจให้สดชื่น ไม่เครียด พักผ่อนให้เพียงพอ ก็จะเป็นเกราะป้องกันโรคร้ายสู่ตัวเรา
ข้อมูลจาก
นิตยสาร Be Well
ดื่มน้ำน้อย ผลร้ายที่คุณคาดไม่ถึง
ดื่มน้ำน้อย ผลร้ายที่คุณคาดไม่ถึง (Twenty-four Seven)
ร่าง กายของคนเราประกอบด้วยน้ำ 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ เลือดเราประกอบด้วยน้ำ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ กระดูกเราก็ประกอบด้วยน้ำ 22 เปอร์เซ็นต์ ร่างกายเราเสียน้ำวันละ 2 ลิตรเศษ
ถ้าเรารับน้ำเข้าไปไม่เพียงพอก็ถือว่าขาดน้ำ อวัยวะภายในจะรวนผิดปกติ เลือดจะข้น ยากที่หัวใจจะสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายส่วนต่าง ๆ หัวใจจะตีบตันเสียก่อน ความจำก็จะเสื่อมหรือเป็นอัลไซเมอร์ เพราะเลือดเลี้ยงสมองไม่พอ เส้นเลือดก็จะตีบตัน ลำไส้จะแห้ง ทำให้ท้องผูก
เพราะ ภาวะสังคมที่รีบเร่ง คนทำงานนั่งอยู่กับคอมพิวเตอร์มักไม่ค่อยอยากจะลุกไปเข้าห้องน้ำ ไม่ชอบดื่มน้ำซึ่งจะทำให้ปัสสาวะบ่อย แต่ถ้าบอกว่า คนไข้โรคความจำเสื่อมเป็นถึงระดับผู้บริหารใหญ่ ๆ ดื่มน้ำวันละ 2-3 แก้ว ไม่เกิน 500 ซี.ซี. ทำให้เลือดข้นไขมันสูง หมอส่วนใหญ่จะจ่ายยาละลายลิ่มเลือดให้ ทำให้เลือดใสแต่เหมือนการคนน้ำให้ตกตะกอน แต่ก็ยังต้องใช้น้ำนำพาตะกอนออกมาอยู่ดี มันจะได้ไม่กลับไปอุดตันเส้นเลือดเหมือนเดิม
ช่องทางในการขับของเสียออกจะมีอยู่ 5 ช่องทางด้วยกันคือ
1. ไต ขับออกมาทางปัสสาวะ
2. ลำไส้ใหญ่ ขับออกมาทางอุจจาระ
3. ปอด ขับออกมาทางลมหายใจ
4. ผิวหนัง ขับออกมาทางเหงื่อ
5. (สำหรับผู้หญิง) รอบเดือน ขับออกมาทางประจำเดือน
เมื่อช่องทางการขับของเสียไม่สมบูรณ์ ร่างกายก็จะต้องพยายามหาทางออกให้ได้ เช่น เป็นสิว ฝ้ากระ ฝี ริดสีดวง ถ้าเรามีอาการดังที่กล่าว อาจแสดงถึงว่าร่างกายมีของเน่าเสียอยู่ภายใน เป็นสัญญาณเตือนภัยที่ไม่ควรมองข้าม การกินหรือฉีดยาไม่ใช่วิธีเดียวในการรักษาหรือบำบัดโรคให้หายไป ป้องกันไว้ดีกว่าแก้ไขทีหลัง!
ที่มา : http://health.kapook.com
วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
สูตรอาหารลดน้ำหนัก
วิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพดี ในการช่วยลดความอ้วน โดยไม่ต้องลดจำนวนอาหารที่เราทานอยู่ หรือหักโหม ออกกำลังกายจนเกินควร วิธีนี้ขึ้นอยู่กับการรู้จักลักษณะของอาหารชนิดต่างๆ ที่เราบริโภค ประกอบกับการออกกำลังการเพียงเล็กน้อย
สิ่งแรกที่จะต้องระลึกอยู่เสมอ คือ อาหารชนิดต่างๆ ที่เรารับประทานนี้ มีคุณสมบัติไม่เหมือนกัน อาหารบางชนิดมีจำนวน Calories สูง ทานแล้วอ้วน บางอย่างมีจำนวน Calories ต่ำ ทานได้จนอิ่ม น้ำหนักก็ไม่ขึ้น ตัวอย่างเช่น ถ้าทานเนื้อหมู 100 กรัม ร่างกายจะได้รับพลังงานถึง 400 Calories แต่ ถ้าท่านทานแตงกวา 100 กรัม ร่างกายจะได้รับพลังงานเพียง 15 Calories
วันๆ หนึ่ง มนุษย์เราต้องการพลังงานจากอาหารเพียง 2000 ถึง 3000 Calories เท่านั้น คนที่นั่งๆ นอนๆ ไม่ค่อยออกกำลังกาย จะมีความต้องการพลังงานน้อย คนที่เล่นกีฬาออกกำลังอยู่เสมอ จะมีคามจำเป็นต้องได้พลังงานจากอาหารมากกว่า เพราะฉะนั้น ข้อแรกในการลดน้ำหนัก คือพยายามไม่ทานอาหารจำพวก Calories มากกว่าที่ร่างกายต้องการ สตรีไทยส่วนมาก รูปร่างไม่ใหญ่ และไม่ค่อยออกกำลังมากในชีวิตประจำวัน ทานอาหารเพียงวันละ 1500 ถึง 2000 Calories ก็จะมีรูปร่างสวยงามได้
สิ่งที่สองที่ควรทราบ คือ อาหารแต่ละชนิดที่ท่านทานนี้ มีส่วนประกอบสำคัญอยู่ 3 อย่าง คือ ไขมัน ( fat โปรตีน ( protein ) และแป้ง ( carbohydrate ) ตัวที่เป็นอันตรายต่อร่างกายที่สุด คือ ไขมัน ไขมัน หรือ fat นี้ มีจำนวน Calories อยู่สูงมาก ทานเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้อ้วนได้ คนที่ทานไขมันมาก จะมีไขมันอยู่ที่ร่างกายมากเกินควร ตามส่วนต่างๆ เช่น ใบหน้า ท้อง แขน ขา และสะโพกดูอุ้ยอ้ายน่าเกลียด เวลาตรวจเลือดดู จะพบไขมันอยู่ใน 2 ลักษณะ เป็นแบบ Cholesterol และแบบ Triglycerides เวลาไปให้แพทย์ตรวจร่างกาย ควรบอกให้หมอตรวจดูระดับของ Cholesterol และ
Triglycerides ในเลือดด้วย
คนที่มีสุขภาพดี ระดับ Cholesterol ไม่ควรเกิน 250 mg.% และระดับ Triglycerides ไม่ควรเกิน 135 mg.% ถ้าเรามีไขมันในเส้นเลือดและในร่างกายมากเกินไป มันจะไปฝังตัวในเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงหัวใจ ทำให้เส้นเลือดนี้ตีบ และหัวใจวายเสียชีวิตตั้งแต่อายุน้อย นอกจากนั้น ยังเป็นที่ เชื่อกันว่าทานอาหารที่มีไขมันสูง อาจทำให้เป็น โรคมะเร็งในลำไส้ และมะเร็งในเต้านมได้ท่านจะเห็นจากรายการอาหารที่แสดงไว้ว่า เ นื้อหมู เนื้อวัว ไข่แดง เนย และถั่วลิสง มีจำนวนไขมันอยู่สูง เนื้อชนิดอื่น เช่น เนื้อไก่ ปลา หอย ปู และกุ้ง กลับมีส่วนประกอบที่มีไขมันต่ำกว่ามาก มีแต่เนื้อเป็ด ที่ยังมีส่วน fat อยู่ถึง 50% เพราะฉะนั้น เวลาท่านนึกจะทานเนื้อ จะต้องคำนึงอยู่เสมอว่า เนื้อหมู เนื้อวัว นั้นจะทำให้อ้วน แต่ท่านสามารถทานเนื้อไก่ ปลา ปู กุ้ง หอย ได้เป็นจำนวนมาก ทานได้จนอิ่มทุกมื้อ ก็จะได้รับจำนวน Cholesterol น้อย และส่วนประกอบที่เป็นไขมัน จะต่ำ และดีต่อสุขภาพ
ไข่นั้นมี Cholesterol สูง และมีส่วนประกอบเป็นไขมันมาก โดยเฉพาะตัวไข่แดง มีไขมันในรูป Calories อยู่เกือบเต็มใบ เพราะฉะนั้น ถ้าเราทานไข่มากเกินไป เช่น ทานแบบฝรั่งทุกเช้า 2-3 ฟอง แล้วยังทานมื้อเย็นเป็นไข่เจียวกับข้าวอีก จะทำให้เราอ้วนและเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ ไข่นี้ไม่จำเป็นต้องทานมากกว่าอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง
นม เนย และเนยแข็ง ก็มี Cholesterol สูง และมีส่วนประกอบเป็นไขมันเช่นเดียวกัน เนยนั้นมีถึง 700 calories ต่อ 100 กรัม ส่วน Cheddar Cheese นั้นมีถึง 400 calories ต่อ 100 กรัม ซึ่งๆ เท่ากับ Sirloin Steak เวลาทานนมหรือทานเนยแข็งดูเป็นของเบา ไม่หนักท้อง ความจริงแล้ว มันกลับทำให้เราอ้วนได้ ควรทานนมแบบ Skim Milk หรือ Low Fat Milk มากกว่า เนยแข็งแบบ Cottage Cheese พอทานได้ เพราะ Calories และส่วนไขมันไม่สูงเกินไปถ้าท่านสังเกตดูอาหารแบบถั่วหรือผัก จะเห็นว่า ถั่วงอกหรือถั่วลิสง ที่มี Calories สูงมาก ถั่วลิสงมี 550 และถั่วงอก 400 Calories ต่อ 100 กรัม ส่วนผักชนิดอื่นๆ เช่น แตงกวา ผักกาด มะเขือ กะหล่ำปลี หน่อไม้ มี Calories ต่ำมาก และยังส่วนประกอบที่เป็นไขมันไม่เกิน 5-10% อาหารแบบผลไม้ ก็คล้ายกับผัก คือมี Calories และส่วนไขมันต่ำมาก ยกเว้นลูกเกด (raisin) ซึ่งเป็นผลไม้อันเดียวที่ควรหลีกเลี่ยง ถ้าไม่อยากอ้วน
อาหารแบบผักและผลไม้นี้ จะเห็นว่า ประกอบด้วยแป้งหรือ carbohydrate เป็นส่วนใหญ่ ในสมัยก่อน คิดกันว่าการทานอาหารแบบมีแป้งนี้ เป็นอันตรายต่อร่างกาย ในสมัยนี้ เกิดการเปลี่ยนความคิดและคำแนะนำใหม่ กลับเป็น ที่เชื่อกันว่าระบบอาหารที่ประกอบด้วยผักและผลไม้เป็นส่วนมากนี้ เป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกาย ระบบการทานอาหารแบบ The Pritikin Diet ที่ Dr.Pritikin คิดขึ้นมา มีแต่ผักและผลไม้เป็นส่วนใหญ่ อนุญาตให้มีไขมันเพียง 5 % คำแนะนำของ Dr. Pritikin นี้กำลังเป็นที่นิยม และนับถือกันมาก เพราะเอามาใช้กับคนอ้วน คนมีความดันโลหิตสูง คนที่เป็นเบาหวาน หรือเป็นโรคหัวใจ ได้ผลดีอย่างน่าประหลาดใจ ทำให้น้ำหนักลดลง หลายสิบโล ภายในไม่กี่อาทิตย์ โรคเบาหวานก็มีอาการดีขึ้น ความดันโลหิตก็ลดลง
เนื่องจากเหตุผลที่กล่าวมาแล้ว คนที่ต้องการลดน้ำหนัก ควรทานอาหาร
มื้อเช้าแบบไทยๆ เช่น ข้าวต้ม พร้อมกับแกล้มนิดหน่อย ปลาเค็ม ผักดอง ขิงดอง ถ้าอยากทานไข่เค็ม พยายามทานไข่ขาว ให้มากกว่าไข่แดง เพราะมีไขมันมาก
มื้อกลางวัน ควรเลือกรับประทานอาหารแบบ carbohydrate เช่น ก๋วยเตี๋ยวแห้ง หรือน้ำ พยายามหลีกเลี่ยงก๋วยเตี๋ยวผัดราดหน้า ซึ่งมีไขมันมากกว่า ลูกชิ้นเนื้อวัวก็พอทานได้ เพราะเนื้อได้ถูกต้ม เอาไขมันไปมากแล้ว การทานแบบน้ำ จะทำให้ท้องรู้สึกแน่น และอิ่มเร็วมากกว่าทานแบบแห้ง ถ้าเราไม่หิวมาก ทานแต่ ผักผลไม้ เป็นอาหารกลางวันก็ได้
มื้อเย็น ทานข้าวได้ แต่กับข้าวนี้ ควรมีปลา ปู กุ้ง หรือหอย เป็นส่วนใหญ่ ควรปิ้ง ย่าง นึ่ง หรือต้ม แทนที่จะผัด จะได้ไม่มีไขมันมาก และควรมีผักสดทานร่วมด้วยเสมอ ไก่นั้นทานได้ ส่วนเนื้อหรือหมู ควรต้มหรือแกงเสีย ก็จะช่วยให้น้ำหนักไม่ขึ้น ที่สำคัญ พยายามอย่าทานอาหารว่าง วิธีทานที่ดีที่สุด คือ ทานเมื่อเรารู้สึกหิว เท่านั้น ถ้าเราไม่หิว ก็แปลว่า ร่างกายเรายังไม่ต้องการอาหารเพิ่มเติม
สูตรอาหารลดน้ำหนัก ภายใน 7 วัน
สิ่งแรกที่จะต้องระลึกอยู่เสมอ คือ อาหารชนิดต่างๆ ที่เรารับประทานนี้ มีคุณสมบัติไม่เหมือนกัน อาหารบางชนิดมีจำนวน Calories สูง ทานแล้วอ้วน บางอย่างมีจำนวน Calories ต่ำ ทานได้จนอิ่ม น้ำหนักก็ไม่ขึ้น ตัวอย่างเช่น ถ้าทานเนื้อหมู 100 กรัม ร่างกายจะได้รับพลังงานถึง 400 Calories แต่ ถ้าท่านทานแตงกวา 100 กรัม ร่างกายจะได้รับพลังงานเพียง 15 Calories
วันๆ หนึ่ง มนุษย์เราต้องการพลังงานจากอาหารเพียง 2000 ถึง 3000 Calories เท่านั้น คนที่นั่งๆ นอนๆ ไม่ค่อยออกกำลังกาย จะมีความต้องการพลังงานน้อย คนที่เล่นกีฬาออกกำลังอยู่เสมอ จะมีคามจำเป็นต้องได้พลังงานจากอาหารมากกว่า เพราะฉะนั้น ข้อแรกในการลดน้ำหนัก คือพยายามไม่ทานอาหารจำพวก Calories มากกว่าที่ร่างกายต้องการ สตรีไทยส่วนมาก รูปร่างไม่ใหญ่ และไม่ค่อยออกกำลังมากในชีวิตประจำวัน ทานอาหารเพียงวันละ 1500 ถึง 2000 Calories ก็จะมีรูปร่างสวยงามได้
สิ่งที่สองที่ควรทราบ คือ อาหารแต่ละชนิดที่ท่านทานนี้ มีส่วนประกอบสำคัญอยู่ 3 อย่าง คือ ไขมัน ( fat โปรตีน ( protein ) และแป้ง ( carbohydrate ) ตัวที่เป็นอันตรายต่อร่างกายที่สุด คือ ไขมัน ไขมัน หรือ fat นี้ มีจำนวน Calories อยู่สูงมาก ทานเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้อ้วนได้ คนที่ทานไขมันมาก จะมีไขมันอยู่ที่ร่างกายมากเกินควร ตามส่วนต่างๆ เช่น ใบหน้า ท้อง แขน ขา และสะโพกดูอุ้ยอ้ายน่าเกลียด เวลาตรวจเลือดดู จะพบไขมันอยู่ใน 2 ลักษณะ เป็นแบบ Cholesterol และแบบ Triglycerides เวลาไปให้แพทย์ตรวจร่างกาย ควรบอกให้หมอตรวจดูระดับของ Cholesterol และ
Triglycerides ในเลือดด้วย
คนที่มีสุขภาพดี ระดับ Cholesterol ไม่ควรเกิน 250 mg.% และระดับ Triglycerides ไม่ควรเกิน 135 mg.% ถ้าเรามีไขมันในเส้นเลือดและในร่างกายมากเกินไป มันจะไปฝังตัวในเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงหัวใจ ทำให้เส้นเลือดนี้ตีบ และหัวใจวายเสียชีวิตตั้งแต่อายุน้อย นอกจากนั้น ยังเป็นที่ เชื่อกันว่าทานอาหารที่มีไขมันสูง อาจทำให้เป็น โรคมะเร็งในลำไส้ และมะเร็งในเต้านมได้ท่านจะเห็นจากรายการอาหารที่แสดงไว้ว่า เ นื้อหมู เนื้อวัว ไข่แดง เนย และถั่วลิสง มีจำนวนไขมันอยู่สูง เนื้อชนิดอื่น เช่น เนื้อไก่ ปลา หอย ปู และกุ้ง กลับมีส่วนประกอบที่มีไขมันต่ำกว่ามาก มีแต่เนื้อเป็ด ที่ยังมีส่วน fat อยู่ถึง 50% เพราะฉะนั้น เวลาท่านนึกจะทานเนื้อ จะต้องคำนึงอยู่เสมอว่า เนื้อหมู เนื้อวัว นั้นจะทำให้อ้วน แต่ท่านสามารถทานเนื้อไก่ ปลา ปู กุ้ง หอย ได้เป็นจำนวนมาก ทานได้จนอิ่มทุกมื้อ ก็จะได้รับจำนวน Cholesterol น้อย และส่วนประกอบที่เป็นไขมัน จะต่ำ และดีต่อสุขภาพ
ไข่นั้นมี Cholesterol สูง และมีส่วนประกอบเป็นไขมันมาก โดยเฉพาะตัวไข่แดง มีไขมันในรูป Calories อยู่เกือบเต็มใบ เพราะฉะนั้น ถ้าเราทานไข่มากเกินไป เช่น ทานแบบฝรั่งทุกเช้า 2-3 ฟอง แล้วยังทานมื้อเย็นเป็นไข่เจียวกับข้าวอีก จะทำให้เราอ้วนและเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ ไข่นี้ไม่จำเป็นต้องทานมากกว่าอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง
นม เนย และเนยแข็ง ก็มี Cholesterol สูง และมีส่วนประกอบเป็นไขมันเช่นเดียวกัน เนยนั้นมีถึง 700 calories ต่อ 100 กรัม ส่วน Cheddar Cheese นั้นมีถึง 400 calories ต่อ 100 กรัม ซึ่งๆ เท่ากับ Sirloin Steak เวลาทานนมหรือทานเนยแข็งดูเป็นของเบา ไม่หนักท้อง ความจริงแล้ว มันกลับทำให้เราอ้วนได้ ควรทานนมแบบ Skim Milk หรือ Low Fat Milk มากกว่า เนยแข็งแบบ Cottage Cheese พอทานได้ เพราะ Calories และส่วนไขมันไม่สูงเกินไปถ้าท่านสังเกตดูอาหารแบบถั่วหรือผัก จะเห็นว่า ถั่วงอกหรือถั่วลิสง ที่มี Calories สูงมาก ถั่วลิสงมี 550 และถั่วงอก 400 Calories ต่อ 100 กรัม ส่วนผักชนิดอื่นๆ เช่น แตงกวา ผักกาด มะเขือ กะหล่ำปลี หน่อไม้ มี Calories ต่ำมาก และยังส่วนประกอบที่เป็นไขมันไม่เกิน 5-10% อาหารแบบผลไม้ ก็คล้ายกับผัก คือมี Calories และส่วนไขมันต่ำมาก ยกเว้นลูกเกด (raisin) ซึ่งเป็นผลไม้อันเดียวที่ควรหลีกเลี่ยง ถ้าไม่อยากอ้วน
อาหารแบบผักและผลไม้นี้ จะเห็นว่า ประกอบด้วยแป้งหรือ carbohydrate เป็นส่วนใหญ่ ในสมัยก่อน คิดกันว่าการทานอาหารแบบมีแป้งนี้ เป็นอันตรายต่อร่างกาย ในสมัยนี้ เกิดการเปลี่ยนความคิดและคำแนะนำใหม่ กลับเป็น ที่เชื่อกันว่าระบบอาหารที่ประกอบด้วยผักและผลไม้เป็นส่วนมากนี้ เป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกาย ระบบการทานอาหารแบบ The Pritikin Diet ที่ Dr.Pritikin คิดขึ้นมา มีแต่ผักและผลไม้เป็นส่วนใหญ่ อนุญาตให้มีไขมันเพียง 5 % คำแนะนำของ Dr. Pritikin นี้กำลังเป็นที่นิยม และนับถือกันมาก เพราะเอามาใช้กับคนอ้วน คนมีความดันโลหิตสูง คนที่เป็นเบาหวาน หรือเป็นโรคหัวใจ ได้ผลดีอย่างน่าประหลาดใจ ทำให้น้ำหนักลดลง หลายสิบโล ภายในไม่กี่อาทิตย์ โรคเบาหวานก็มีอาการดีขึ้น ความดันโลหิตก็ลดลง
เนื่องจากเหตุผลที่กล่าวมาแล้ว คนที่ต้องการลดน้ำหนัก ควรทานอาหาร
มื้อเช้าแบบไทยๆ เช่น ข้าวต้ม พร้อมกับแกล้มนิดหน่อย ปลาเค็ม ผักดอง ขิงดอง ถ้าอยากทานไข่เค็ม พยายามทานไข่ขาว ให้มากกว่าไข่แดง เพราะมีไขมันมาก
มื้อกลางวัน ควรเลือกรับประทานอาหารแบบ carbohydrate เช่น ก๋วยเตี๋ยวแห้ง หรือน้ำ พยายามหลีกเลี่ยงก๋วยเตี๋ยวผัดราดหน้า ซึ่งมีไขมันมากกว่า ลูกชิ้นเนื้อวัวก็พอทานได้ เพราะเนื้อได้ถูกต้ม เอาไขมันไปมากแล้ว การทานแบบน้ำ จะทำให้ท้องรู้สึกแน่น และอิ่มเร็วมากกว่าทานแบบแห้ง ถ้าเราไม่หิวมาก ทานแต่ ผักผลไม้ เป็นอาหารกลางวันก็ได้
มื้อเย็น ทานข้าวได้ แต่กับข้าวนี้ ควรมีปลา ปู กุ้ง หรือหอย เป็นส่วนใหญ่ ควรปิ้ง ย่าง นึ่ง หรือต้ม แทนที่จะผัด จะได้ไม่มีไขมันมาก และควรมีผักสดทานร่วมด้วยเสมอ ไก่นั้นทานได้ ส่วนเนื้อหรือหมู ควรต้มหรือแกงเสีย ก็จะช่วยให้น้ำหนักไม่ขึ้น ที่สำคัญ พยายามอย่าทานอาหารว่าง วิธีทานที่ดีที่สุด คือ ทานเมื่อเรารู้สึกหิว เท่านั้น ถ้าเราไม่หิว ก็แปลว่า ร่างกายเรายังไม่ต้องการอาหารเพิ่มเติม
สูตรอาหารลดน้ำหนัก ภายใน 7 วัน
มีบางคนใช้สูตรนี้แล้วสามารถลดได้ถึง 9 กิโลกรัมภายใน 7 วันแต่ก็ตามก็ขึ้นอยู่กับภาวะร่างกายของคนเรา ถ้าหากน้ำหนักมากๆ เกิน 80 กิโลกรัมขึ้นไป หากทำตามสูตรนี้ได้ เชื่อว่าน่าจะลดได้ 9 กิโลแน่ๆ แต่ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของเราเท่านั้นเอง วันที่ 1 มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง กับผักต้ม มื้อเย็น : สเต็กกับสลัดผักน้ำใส และผลไม้ วันที่ 2 มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น มื้อกลางวัน : สเต็กหรือเนื้อหมู เนื้อวัวย่างก็ได้ กับสลัดผักเขียวและผลไม้ มื้อเย็น : แฮมแผ่นต้มปริมาณเท่าใดก็ได้ วันที่ 3 มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 2 แผ่น มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง และสลัดกับแครอท มื้อเย็น : แฮมแผ่นต้มปริมาณเท่าใดก็ได้ วันที่ 4 มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 1 ฟองกับแครอทต้ม มื้อเย็น : ผลไม้และโยเกิร์ตรสธรรมชาติ วันที่ 5 มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล มื้อกลางวัน : ปลาเผาหรือปลาย่างกับผักต้ม มื้อเย็น : สเต็ก หรือเนื้อย่างไม่ติดมัน กับสลัดผักสดน้ำใส วันที่ 6 มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล มื้อกลางวัน : ไก่ย่างไม่ติดหนัง มื้อเย็น : ไข่ต้ม 2 ฟอง กับแครอทต้ม วันที่ 7 มื้อเช้า : กาแฟหรือชาบีบมะนาว แต่ไม่ใส่น้ำตาล มื้อกลางวัน : ผลไม้อะไรก็ได้ในปริมาณต้องการ มื้อเย็น : อะไรก็ได้ทุกอย่างที่อยากทาน ไม่จำกัดปริมาณ |
ทาครีม-ยิงเลเซอร์ เสก "หัวนมดำ" เป็นจุกชมพูได้จริงหรือ
นอกจากอกไข่ดาวแล้ว "หัวนมดำ" ยังเป็นปัญหาหนักอกหนักใจของคุณผู้หญิง เพราะทุกคนล้วนใฝ่ฝันอยากได้สีชมพูมาครอบครองพื้นที่บนยอดทรวงอก แต่ก็มีผู้ชายฉลาดน้อยบางคนเห็นแฟนตนเองหัวนมดำกลับคิดว่าผ่านศึกมาโชกโชนเจ็ดย่านน้ำซะงั้น ทั้งที่หนูไม่ได้ตั้งใจดำ หนูไม่ได้ตั้งใจด้ำ! แต่มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิดหรอกย่ะ!
ไม่ต้องกังวลใจไปใย สมัยนี้มีสารพัดครีมอวดสรรพคุณเสกสรรค์ปั้นแต่งจุกให้ชมพูได้ เป็นแค่โฆษณาอวดอ้าง เรื่องจริงหรือลวงโลก ผลข้างเคียงอาจยิ่งใหญ่กว่าที่คิด แล้วถ้าขี้เกียจทาล่ะ เพราะทาไปเกือบสิบกระปุกยังดำคล้ำอยู่เหมือนเดิม งั้นตัวช่วยสุดท้าย ไปหาหมอเลเซอร์ เหอะ!
อืม หากเลเซอร์ไปจะคงความชมพูได้นานคุ้มกับเงินที่เสียไปมั้ยคะ พญ.พรภุชงค์ เลาห์เกริกเกียรติ แพทย์ผิวหนัง จากโรงพยาบาลพญาไท 3 มีคำตอบค่ะ
หัวนมคล้ำเกิดจาก?
"โดยพื้นฐานเป็นเรื่องของสีผิว แต่ละคนสีผิวไม่เหมือนกัน ฉะนั้นคนสีผิวเข้ม ตำแหน่งหัวนมก็จะมีสีคล้ำได้ เหมือนริมฝีปาก คนผิวขาวริมฝีปากจะค่อนข้างชมพู คนผิวคล้ำริมฝีปากจะสีคล้ำ อันนี้เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว
ภาวะฮอร์โมน เช่น ช่วงตั้งครรภ์สังเกตสีผิวจะคล้ำขึ้น จะพบเห็นได้ว่าสีผิวจะเข้มขึ้นบริเวณคอ รวมทั้งรักแร้ ขาหนีบ สีจะคล้ำขึ้น รวมทั้งหัวนมจะมีสีคล้ำขึ้น ส่วนเรื่องของการแพ้ การระคายเคือง ก็อาจจะมีปัจจัยทำให้สีผิวเข้มขึ้นมาได้" คุณหมอพรภุชงค์กล่าว
ใช้ครีมทาหัวนม ช่วยไม่ได้ 100 %
ครีมช่วยได้เล็กน้อยถึงปานกลาง แต่ควรระวัง! ส่วนผสมจำพวกลอกฝ้าให้ดี
"ครีมทาหัวนมจะเป็นเหมือนครีมกลุ่มไวท์เทนนิ่ง (Whitening) แต่สารที่ใช้ ไม่ควรผสมสาร AHA รวมทั้งกรดวิตามินเอ เนื่องจากมีฤทธิ์ของการลอกผิวอาจมีการลอกมากจนเกิดการระคายเคืองได้ ถ้าจะซื้อตามร้านเสริมสวย หรืออินเตอร์เน็ตก็ควรต้องระวังให้มาก เพราะผลิตภัณฑ์บางตัวอาจจะไม่ผ่าน อย.
บางทีอาจมีพวกปรอท สารไฮโดรควิโนน(Hydroquinone) ซึ่งเป็นยารักษาฝ้า" คุณหมอขอเตือน แถมย้ำด้วยว่า การที่จะทาครีมเพื่อทำให้หัวนมมีสีชมพูเป็นไปได้ยาก
ฟอกสบู่บริเวณหัวนมมากๆ สาเหตุหนึ่งของความคล้ำ
"คงต้องดูแลป้องกันไม่ให้มีการระคายเคืองมาก ต้องระวังเรื่องการอาบน้ำ บางทีฟอกสบู่มากไป จะทำให้ผิวแห้ง หรือบางคนที่เป็นภูมิแพ้ผิวหนัง ผิวตรงนี้อาจจะเกิดการแพ้ได้ง่าย ก็อาจจะเกิดรอยดำคล้ำได้ง่าย หลังอาบน้ำควรทาครีมบำรุงตามปกติ”
หรือแบ่งปันครีมทาหน้าเพื่อความกระจ่างใสมาทาถูหัวนมได้เช่นกันซึ่งจะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนซื้อใช้
เลเซอร์เสกจุกชมพูเพียงแค่ครึ่งปี
หากใช้ครีมทาจนท้อแท้ เมื่อไหร่จะชมพูสักที ชักนานเกินไป ล่อไปหลายกระปุกแล้ว ความคล้ำยังไม่เลือนหายไปจากยอดปทุมถันชั้นสักที เฮ้อ! เลเซอร์ช่วยคุณได้แต่ไม่ถาวร
"หากใช้ครีมแล้วได้ผลยังไม่เป็นที่น่าพอใจ หมออาจมีการใช้เลเซอร์ช่วยบ้าง หัวนมสีคล้ำเราใช้เลเซอร์ช่วยได้ เช่นเดียวกับริมฝีปากคล้ำ จะเป็นการลอกผิวบางๆ ออกไป แต่ไม่ชมพูถาวร ได้ผลแค่ชั่วคราว เพราะผิวจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา"
แนวทางการรักษาด้วยการยิงเลเซอร์เช่นเดียวกับการรักษา “กระ”
“หมอใช้การยิงเลเซอร์ด้วย Q-switched Nd-YAG Laser คือ ยิงขึ้นสะเก็ดแผลเล็กๆ จะมีสะเก็ดแผลอยู่ประมาณ 1 อาทิตย์
ก่อนการทำเลเซอร์ต้องใส่ยาชา ทำเสร็จแล้วอาจมีอาการเจ็บแสบ และจะเป็นสะเก็ดแผลตรงลานหัวนมที่เรายิงเลเซอร์ หลังจากนั้นควรดูแลเรื่องสะเก็ดแผล การดูแลค่อนข้างยุ่งยากนิดหนึ่ง เพราะตำแหน่งนี้บอบบาง”
ก่อนการยิงเลเซอร์ คุณหมอพรภุชงค์ย้ำข้อเท็จจริงให้ทราบว่า ค่าใช้จ่ายในการยิงเลเซอร์จะสูงกว่าการซื้อครีมมาทาเองแถมครั้งแรกอาจไม่ได้ผล
“โดยทั่วไปหมอไม่ได้เลเซอร์ตรงส่วนปลายหัวนม จะเลเซอร์แค่ลานหัวนมเท่านั้น เราต้องบอกข้อมูลให้คนไข้รับทราบก่อนว่า การยิงเลเซอร์ไปอาจะช่วยไม่ได้มากนัก มีค่าใช้จ่ายประมาณ 2,500-3,000 บาทต่อการยิงเลเซอร์ 1 ครั้ง สีของหัวนมจะอ่อนลงชั่วคราวและจะอยู่แค่ประมาณ 4-5 เดือน ไม่ถึงปีแน่นอน บางครั้งยิงไปครั้งเดียวอาจไม่ให้สีชมพูต้องมาทำอีก เพราะผิวต้องมีการเปลี่ยนแปลงจากธรรมชาติของสีผิวเราเอง เหมือนเราทำเลเซอร์หน้า ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงต้องกลับมาทำซ้ำ" คุณหมอชี้แจง
ทาครีม-ยิงเลเซอร์ไม่ทันใจ สักสีเลยดีมั้ย?
"ริมฝีปากสีคล้ำเรายังทาลิปสติกได้ แต่หัวนมทาไม่ได้ อีกทางเลือกหนึ่งของบางคน คือ การสักสี แต่สีที่ได้ก็จะไม่ธรรมชาติ” คุณหมอชี้แจงการสักสี เตือนความเสี่ยงของการติดเชื้อ ชั่งใจคิดสักนิดก่อนลงเข็มสัก
“โดยทั่วไปเราก็ถือว่าการสักไม่มีประโยชน์ เป็นการตบแต่ง แต่ต้องคิดด้วยว่า หากเมื่อไหร่อยากลบรอยสักขึ้นมา จะแก้ยากมาก รอยสักไม่ได้แก้ด้วยเลเซอร์เพียงครั้งเดียวหาย ต้องทำหลายรอบ หรือถ้าสักไม่ดีอาจเกิดการติดเชื้ออีก ทางการแพทย์ไม่มีใครสนับสนุนเรื่องของการสักอยู่แล้ว ยกเว้นบางคนมีปัญหาเรื่องของอุบัติเหตุ อาจจะต้องมีการสักสีช่วย แต่ในส่วนของหัวนม หมอไม่แนะนำอยู่แล้ว"
*หมอขอฝาก
จุกชมพูแค่ภาพลวงตา ยอมรับตัวตนดีกว่า
คุณหมอ ชี้การใช้ครีมและเลเซอร์ ได้ผลแค่ชั่วครู่ชั่วยาม
"ในการเลือกซื้อครีมทาหัวนมควรระวังครีมหรือยาที่ไม่ผ่านอย. โดยเฉพาะที่ซื้อขายตามอินเตอร์เน็ต ร้านเสริมสวย เพราะไม่สามารถหาคนรับผิดชอบได้ ในครีมอาจจะมีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน ซึ่งเป็นยารักษาฝ้าอาจจะทำให้เกิดปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ
หรือถ้าใส่ส่วนผสมที่เป็นสารสเตียรอยด์ก็จะทำให้เกิดผิวบาง และยิ่งถ้าใส่สารปรอทที่เป็นสารต้องห้ามก็อาจจะเกิดอันตราย มีผื่นแพ้ ผิวคล้ำขึ้นได้หรือถ้าผสมกรดวิตามินเอก็จะเกิดการระคายเคือง ผิวแห้งลอก ผลิตภัณฑ์หรือครีมทาที่ควรจะต้องระวัง เวลาเห็นตลับที่บรรจุไม่มีชื่อ ไม่มีเลขที่อย. ไม่มีแหล่งผลิต อาจจะมีสารที่เป็นอันตรายได้
การยิงเลเซอร์เป็นการแก้ปัญหาได้ชั่วคราว การยิงเลเซอร์ไปแต่ละครั้งก็มีปัญหา เรื่องของการเกิดสะเก็ด การดูแลสะเก็ดหากหลุดเร็วอาจกลายเป็นรอยด่าง รอยดำหลังยิงอีกแต่ก็เป็นทางเลือกหนึ่งในกรณีที่คนไข้อาจใช้ยาแล้วไม่ดีขึ้น
เราก็ต้องพูดกลางๆ ว่าไม่ได้เป็นผลที่แน่นอน 100% ว่าผิวจะต้องเป็นสีชมพูเลยในการทำครั้งเดียว บางทีอาจจะต้องทำหลายครั้งก็ได้ ประมาณ 2-3 ครั้ง โดยเฉลี่ยขึ้นอยู่กับความพอใจทิ้งระยะห่างเป็นเดือนหากจะมาเลเซอร์ใหม่ อาจจะมีความพอใจในระดับหนึ่งแต่ไม่ใช่ว่าจนถึงที่สุด” คุณหมอเตือนปิดท้าย
ไม่ต้องกังวลใจไปใย สมัยนี้มีสารพัดครีมอวดสรรพคุณเสกสรรค์ปั้นแต่งจุกให้ชมพูได้ เป็นแค่โฆษณาอวดอ้าง เรื่องจริงหรือลวงโลก ผลข้างเคียงอาจยิ่งใหญ่กว่าที่คิด แล้วถ้าขี้เกียจทาล่ะ เพราะทาไปเกือบสิบกระปุกยังดำคล้ำอยู่เหมือนเดิม งั้นตัวช่วยสุดท้าย ไปหาหมอเลเซอร์ เหอะ!
อืม หากเลเซอร์ไปจะคงความชมพูได้นานคุ้มกับเงินที่เสียไปมั้ยคะ พญ.พรภุชงค์ เลาห์เกริกเกียรติ แพทย์ผิวหนัง จากโรงพยาบาลพญาไท 3 มีคำตอบค่ะ
หัวนมคล้ำเกิดจาก?
"โดยพื้นฐานเป็นเรื่องของสีผิว แต่ละคนสีผิวไม่เหมือนกัน ฉะนั้นคนสีผิวเข้ม ตำแหน่งหัวนมก็จะมีสีคล้ำได้ เหมือนริมฝีปาก คนผิวขาวริมฝีปากจะค่อนข้างชมพู คนผิวคล้ำริมฝีปากจะสีคล้ำ อันนี้เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว
ภาวะฮอร์โมน เช่น ช่วงตั้งครรภ์สังเกตสีผิวจะคล้ำขึ้น จะพบเห็นได้ว่าสีผิวจะเข้มขึ้นบริเวณคอ รวมทั้งรักแร้ ขาหนีบ สีจะคล้ำขึ้น รวมทั้งหัวนมจะมีสีคล้ำขึ้น ส่วนเรื่องของการแพ้ การระคายเคือง ก็อาจจะมีปัจจัยทำให้สีผิวเข้มขึ้นมาได้" คุณหมอพรภุชงค์กล่าว
ใช้ครีมทาหัวนม ช่วยไม่ได้ 100 %
ครีมช่วยได้เล็กน้อยถึงปานกลาง แต่ควรระวัง! ส่วนผสมจำพวกลอกฝ้าให้ดี
"ครีมทาหัวนมจะเป็นเหมือนครีมกลุ่มไวท์เทนนิ่ง (Whitening) แต่สารที่ใช้ ไม่ควรผสมสาร AHA รวมทั้งกรดวิตามินเอ เนื่องจากมีฤทธิ์ของการลอกผิวอาจมีการลอกมากจนเกิดการระคายเคืองได้ ถ้าจะซื้อตามร้านเสริมสวย หรืออินเตอร์เน็ตก็ควรต้องระวังให้มาก เพราะผลิตภัณฑ์บางตัวอาจจะไม่ผ่าน อย.
บางทีอาจมีพวกปรอท สารไฮโดรควิโนน(Hydroquinone) ซึ่งเป็นยารักษาฝ้า" คุณหมอขอเตือน แถมย้ำด้วยว่า การที่จะทาครีมเพื่อทำให้หัวนมมีสีชมพูเป็นไปได้ยาก
ฟอกสบู่บริเวณหัวนมมากๆ สาเหตุหนึ่งของความคล้ำ
"คงต้องดูแลป้องกันไม่ให้มีการระคายเคืองมาก ต้องระวังเรื่องการอาบน้ำ บางทีฟอกสบู่มากไป จะทำให้ผิวแห้ง หรือบางคนที่เป็นภูมิแพ้ผิวหนัง ผิวตรงนี้อาจจะเกิดการแพ้ได้ง่าย ก็อาจจะเกิดรอยดำคล้ำได้ง่าย หลังอาบน้ำควรทาครีมบำรุงตามปกติ”
หรือแบ่งปันครีมทาหน้าเพื่อความกระจ่างใสมาทาถูหัวนมได้เช่นกันซึ่งจะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนซื้อใช้
เลเซอร์เสกจุกชมพูเพียงแค่ครึ่งปี
หากใช้ครีมทาจนท้อแท้ เมื่อไหร่จะชมพูสักที ชักนานเกินไป ล่อไปหลายกระปุกแล้ว ความคล้ำยังไม่เลือนหายไปจากยอดปทุมถันชั้นสักที เฮ้อ! เลเซอร์ช่วยคุณได้แต่ไม่ถาวร
"หากใช้ครีมแล้วได้ผลยังไม่เป็นที่น่าพอใจ หมออาจมีการใช้เลเซอร์ช่วยบ้าง หัวนมสีคล้ำเราใช้เลเซอร์ช่วยได้ เช่นเดียวกับริมฝีปากคล้ำ จะเป็นการลอกผิวบางๆ ออกไป แต่ไม่ชมพูถาวร ได้ผลแค่ชั่วคราว เพราะผิวจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา"
แนวทางการรักษาด้วยการยิงเลเซอร์เช่นเดียวกับการรักษา “กระ”
“หมอใช้การยิงเลเซอร์ด้วย Q-switched Nd-YAG Laser คือ ยิงขึ้นสะเก็ดแผลเล็กๆ จะมีสะเก็ดแผลอยู่ประมาณ 1 อาทิตย์
ก่อนการทำเลเซอร์ต้องใส่ยาชา ทำเสร็จแล้วอาจมีอาการเจ็บแสบ และจะเป็นสะเก็ดแผลตรงลานหัวนมที่เรายิงเลเซอร์ หลังจากนั้นควรดูแลเรื่องสะเก็ดแผล การดูแลค่อนข้างยุ่งยากนิดหนึ่ง เพราะตำแหน่งนี้บอบบาง”
ก่อนการยิงเลเซอร์ คุณหมอพรภุชงค์ย้ำข้อเท็จจริงให้ทราบว่า ค่าใช้จ่ายในการยิงเลเซอร์จะสูงกว่าการซื้อครีมมาทาเองแถมครั้งแรกอาจไม่ได้ผล
“โดยทั่วไปหมอไม่ได้เลเซอร์ตรงส่วนปลายหัวนม จะเลเซอร์แค่ลานหัวนมเท่านั้น เราต้องบอกข้อมูลให้คนไข้รับทราบก่อนว่า การยิงเลเซอร์ไปอาจะช่วยไม่ได้มากนัก มีค่าใช้จ่ายประมาณ 2,500-3,000 บาทต่อการยิงเลเซอร์ 1 ครั้ง สีของหัวนมจะอ่อนลงชั่วคราวและจะอยู่แค่ประมาณ 4-5 เดือน ไม่ถึงปีแน่นอน บางครั้งยิงไปครั้งเดียวอาจไม่ให้สีชมพูต้องมาทำอีก เพราะผิวต้องมีการเปลี่ยนแปลงจากธรรมชาติของสีผิวเราเอง เหมือนเราทำเลเซอร์หน้า ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงต้องกลับมาทำซ้ำ" คุณหมอชี้แจง
ทาครีม-ยิงเลเซอร์ไม่ทันใจ สักสีเลยดีมั้ย?
"ริมฝีปากสีคล้ำเรายังทาลิปสติกได้ แต่หัวนมทาไม่ได้ อีกทางเลือกหนึ่งของบางคน คือ การสักสี แต่สีที่ได้ก็จะไม่ธรรมชาติ” คุณหมอชี้แจงการสักสี เตือนความเสี่ยงของการติดเชื้อ ชั่งใจคิดสักนิดก่อนลงเข็มสัก
“โดยทั่วไปเราก็ถือว่าการสักไม่มีประโยชน์ เป็นการตบแต่ง แต่ต้องคิดด้วยว่า หากเมื่อไหร่อยากลบรอยสักขึ้นมา จะแก้ยากมาก รอยสักไม่ได้แก้ด้วยเลเซอร์เพียงครั้งเดียวหาย ต้องทำหลายรอบ หรือถ้าสักไม่ดีอาจเกิดการติดเชื้ออีก ทางการแพทย์ไม่มีใครสนับสนุนเรื่องของการสักอยู่แล้ว ยกเว้นบางคนมีปัญหาเรื่องของอุบัติเหตุ อาจจะต้องมีการสักสีช่วย แต่ในส่วนของหัวนม หมอไม่แนะนำอยู่แล้ว"
*หมอขอฝาก
จุกชมพูแค่ภาพลวงตา ยอมรับตัวตนดีกว่า
คุณหมอ ชี้การใช้ครีมและเลเซอร์ ได้ผลแค่ชั่วครู่ชั่วยาม
"ในการเลือกซื้อครีมทาหัวนมควรระวังครีมหรือยาที่ไม่ผ่านอย. โดยเฉพาะที่ซื้อขายตามอินเตอร์เน็ต ร้านเสริมสวย เพราะไม่สามารถหาคนรับผิดชอบได้ ในครีมอาจจะมีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน ซึ่งเป็นยารักษาฝ้าอาจจะทำให้เกิดปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ
หรือถ้าใส่ส่วนผสมที่เป็นสารสเตียรอยด์ก็จะทำให้เกิดผิวบาง และยิ่งถ้าใส่สารปรอทที่เป็นสารต้องห้ามก็อาจจะเกิดอันตราย มีผื่นแพ้ ผิวคล้ำขึ้นได้หรือถ้าผสมกรดวิตามินเอก็จะเกิดการระคายเคือง ผิวแห้งลอก ผลิตภัณฑ์หรือครีมทาที่ควรจะต้องระวัง เวลาเห็นตลับที่บรรจุไม่มีชื่อ ไม่มีเลขที่อย. ไม่มีแหล่งผลิต อาจจะมีสารที่เป็นอันตรายได้
การยิงเลเซอร์เป็นการแก้ปัญหาได้ชั่วคราว การยิงเลเซอร์ไปแต่ละครั้งก็มีปัญหา เรื่องของการเกิดสะเก็ด การดูแลสะเก็ดหากหลุดเร็วอาจกลายเป็นรอยด่าง รอยดำหลังยิงอีกแต่ก็เป็นทางเลือกหนึ่งในกรณีที่คนไข้อาจใช้ยาแล้วไม่ดีขึ้น
เราก็ต้องพูดกลางๆ ว่าไม่ได้เป็นผลที่แน่นอน 100% ว่าผิวจะต้องเป็นสีชมพูเลยในการทำครั้งเดียว บางทีอาจจะต้องทำหลายครั้งก็ได้ ประมาณ 2-3 ครั้ง โดยเฉลี่ยขึ้นอยู่กับความพอใจทิ้งระยะห่างเป็นเดือนหากจะมาเลเซอร์ใหม่ อาจจะมีความพอใจในระดับหนึ่งแต่ไม่ใช่ว่าจนถึงที่สุด” คุณหมอเตือนปิดท้าย
วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
อาหารชีวจิต
การกิน ไม่ใช่กินอย่างไรให้อร่อย แต่เน้นเรื่อง “ กินดี ” เพื่อต้านโรค เพราะเล็งเห็นว่าคนยุคนี้มีโรคภัยมากมายเกาะกุมรุมเร้าอันมีสาเหตุมาจากอาหารการกิน...
อาหารชีวจิต
ผู้ใหญ่และวัยรุ่นยุคนี้คุ้นเคยกับอาหารจานด่วนมากกว่าน้ำพริกผักจิ้ม ส่วนเด็กยุคใหม่เรียกได้ว่าโตมาจากนมผงและอาหารจานด่วน แถมดูอ้วนท้วนสมบูรณ์แก้มกลมแสนน่ารัก แต่อนาคตทำนายได้ยากว่าจะรอดพ้นจากภัย โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดตีบ โรคมะเร็งได้แค่ไหน
สำหรับจุดประสงค์หลักของชีวจิตก็คือ ความสุขสมบูรณ์ทั้งกายและใจ โดยยึดเอาวิธีปฏิบัติและความคิดในแนวธรรมชาติเป็นหลัก ในด้านร่างกายและจิตใจนั้น ชีวจิตถือว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ร่างกายมีผลต่อจิตใจ และจิตใจก็มีผลต่อร่างกายด้วยความสุขสมบูรณ์ (Wholeness as Perfection)
การปฏิบัติตามชีวจิตจะมุ่งไปในด้านการสร้างสุขภาพกายและใจก่อน โดยการใช้ อาหารสุขภาพ การใช้เครื่องมืออุปโภคที่มาจากธรรมชาติหรือใกล้กับธรรมชาติมากที่สุด ในขณะเดียวกันชีวิตความเป็นอยู่ก็ต้องไปตามธรรมชาติ คือใช้ชีวิตที่บริสุทธิ์และเรียบง่าย ชีวิตที่เป็นไปตามธรรมชาติจะเป็นชีวิตที่มีอายุยืน แข็งแรง มีความสุขสดชื่นตลอดเวลา เมื่อมีการปฏิบัติทางกายแล้วก็ต้องมีการปฏิบัติทางใจด้วย ในด้านจิตใจเป้าหมาย ที่สำคัญที่สุดคือความสงบทางกายซึ่งอาศัยธรรมชาติเป็นปัจจัยจะทำให้เกิดความสงบทางใจ เกิดปัญญา มองเห็นสัจธรรมของโลกและชีวิต จุดสูงสุดของสัจธรรมนี้คือ ความหลุดพ้น ซึ่งแต่ละคนย่อมมีหนทางและแนวทางเป็นของตนเอง
ชีวจิต คืออะไร
ชีวจิต คือ ร่างกายและจิตใจ เป็นวิถีการดำรงชีวิตและการบริโภคที่เน้นความเป็นธรรมชาติ มีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตแบบแมคโครไบโอติค ซึ่งมีการดัดแปลงให้สอดคล้องกับความเป็นอยู่แบบไทย ๆ อาหารชีวจิต เป็นการบริโภคพืชผัก ธัญพืชไม่ขัดสี ผักผลไม้สดตามฤดูกาลไม่ผ่านการปรุงแต่งพืชหัวไม่ปอกเปลือก ดื่มน้ำสะอาดและชาสมุนไพรหรือน้ำผลไม้ งดเนื้อสัตว์ทุกชนิด ยกเว้นปลาและอาหารทะเลบริโภคได้เป็นครั้งคราว งดน้ำตาลฟอกขาว กะทิ นม และไข่ การดำรงชีวิต อยู่ในที่อากาศบริสุทธิ์ไม่แออัด มีชีวิตเรียบง่าย ออกกำลังกายสม่ำเสมอ มีชีวิตที่ยัดธรรมชาติเป็นหลัก มีการฝึกสมาธิเป็นประจำ โดยภาพรวมแล้ว การปฏิบัติตามแนวชีวจิตจะมุ่งเน้นความมีสุขภาพดีทั้งกายและใจ และเข้าใกล้ธรรมชาติมากที่สุด
ชีวจิต เป็นแนวความคิดต่อเรื่องสุขภาพแบบองค์วม(Holistic) คือผนวกรวมเอา "ชีว" ที่หมายถึง "กาย" รวมเข้ากับ "จิต" ที่หมายถึง "ใจ" ให้เป็นสองภาคของชีวิตที่มีผลต่อกันและกันโดยตรง ไม่อาจแยกกายออกจากจิต และจิตย่อมกระทบถึงกายเช่นเดียวกัน ความหมายและการปฏิบัติตัวตามแนวทางของชีวจิต จึงอาจอธิบายได้ว่า คนเราจะมีความสุขความแข็งแรงได้ก็ต่อเมื่อกายและใจทำงานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Wholeness as Perfection)
การใช้ชีวิตให้เป็นไปตามธรรมชาติ บริสุทธิ์ละเรียบง่าย เป็นแก่นความคิดสำคัญอีกประการหนึ่งของชีวจิต ใช้ชีวิตในที่นี้หมายรวมถึง การบริโภคอาหารสุขภาพที่มาจากธรรมชาติและมีการดัดแปลงน้อยที่สุด รวมถึงการบริโภคผลิตภัณฑ์ใดๆที่มาจากธรรมชาติหรือใกล้
เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด เพื่อให้ชีวิตหลุดพ้นจากความยุ่งเหยิงวุ่นวายของสังคมแบบวัตถุนิยมในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคสมัย
ใหม่นานัปการ
แนบเนื่องกับแนวปฎิบัติทางร่างกาย ต้องมีการปฏิบัติทางใจควบคู่ไปด้วย เป้าหมายของการฝึกจิตใจ เป็นไปเพื่อความสงบ เกิด
ปัญญา มองเห็นสัจธรรมของโลกและชีวิต ทั้งนี้การใช้ชีวิตและจิตใจให้เป็นไปตามแนวทางของชีวจิตไม่ใช่เรื่องยุ่งยากซับซ้อน ตรงข้าม
กลับเป็นความพยายามทำชีวิตให้เรีบบง่ายที่สุด แจ่มใสและมีความกลมกลืนกับธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้สุขภาพเกิดความสมดุลและกระตุ้นให้ ภูมิชีวิต (Immune System) ที่เป็นเกราะคุ้มกันสุขภาพตามธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน
ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การจะตรวจสอบว่าตัวเองดำเนินชีวิตได้ใกล้เคียงกับแนวชีวจิตเพียงใด หรือบกพร่องไปเพียงใดนั้น อาจทดสอบได้จากหลักการของ FASJAMM ซึ่งว่าด้วยรูปแบบและอาการต่างๆทางกายและจิต ที่ทำให้บุคคลนั้นๆ มีสุขภาพกายและจิตแตกต่างกันไป
จึงอาจพูดได้ว่า เมื่อระวังรักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอตามแนวคิดของชีวจิต ภูมิชีวิตซึ่งเป็นหมอภายในร่างกายของมนุษย์ก็
ย่อมทำงานได้เต็มหน้าที่ เป็นเครื่องป้องกันด่านแรกที่คุ้มกันเราจากโรคทั้งปวง แต่เมื่อใดก็ตามหากเกิดเหตุสุดวิสัย มีโรคภัยไข้เจ็บเกิดกับร่างกาย การรักษาตามแนวทางของชีวจิต ยังคงยึดหลักของการเยียวยาแบบองค์รวม เช่นเดียวกับการป้องกันในเบื้องต้น วิธีบำบัดหลักๆของชีวจิต ได้ผสมผสานองค์ความรู้และวิธีการต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. ใช้ธรรมชาติเป็นยา
2. ใช้อาหารเป็นยา
3. ใช้แนวทางการแพทย์แบบผสมผสาน
o แผนปัจจุบัน Conventional , Orthodox , Allopathic
o Wholistic (Holistic)
o Macrobiotics
o แบบจีนและการฝังเข็ม
o อายุรเวทและโยคะ
o สมุนไพร
o การนวดกดจุด การนวดฝ่าเท้า และบริหารโดอิน
o แบบอื่นๆ
4. การบริหารและการออกกำลัง (ใช้แบบผสมผสาน)
o โดอิน / โยคะ / นวดกดจุด
o การยืด ส่ง และดัน
o Chiropractic
o การรำตะบอง
อาหารชีวจิต
ผู้ใหญ่และวัยรุ่นยุคนี้คุ้นเคยกับอาหารจานด่วนมากกว่าน้ำพริกผักจิ้ม ส่วนเด็กยุคใหม่เรียกได้ว่าโตมาจากนมผงและอาหารจานด่วน แถมดูอ้วนท้วนสมบูรณ์แก้มกลมแสนน่ารัก แต่อนาคตทำนายได้ยากว่าจะรอดพ้นจากภัย โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดตีบ โรคมะเร็งได้แค่ไหน
สำหรับจุดประสงค์หลักของชีวจิตก็คือ ความสุขสมบูรณ์ทั้งกายและใจ โดยยึดเอาวิธีปฏิบัติและความคิดในแนวธรรมชาติเป็นหลัก ในด้านร่างกายและจิตใจนั้น ชีวจิตถือว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ร่างกายมีผลต่อจิตใจ และจิตใจก็มีผลต่อร่างกายด้วยความสุขสมบูรณ์ (Wholeness as Perfection)
การปฏิบัติตามชีวจิตจะมุ่งไปในด้านการสร้างสุขภาพกายและใจก่อน โดยการใช้ อาหารสุขภาพ การใช้เครื่องมืออุปโภคที่มาจากธรรมชาติหรือใกล้กับธรรมชาติมากที่สุด ในขณะเดียวกันชีวิตความเป็นอยู่ก็ต้องไปตามธรรมชาติ คือใช้ชีวิตที่บริสุทธิ์และเรียบง่าย ชีวิตที่เป็นไปตามธรรมชาติจะเป็นชีวิตที่มีอายุยืน แข็งแรง มีความสุขสดชื่นตลอดเวลา เมื่อมีการปฏิบัติทางกายแล้วก็ต้องมีการปฏิบัติทางใจด้วย ในด้านจิตใจเป้าหมาย ที่สำคัญที่สุดคือความสงบทางกายซึ่งอาศัยธรรมชาติเป็นปัจจัยจะทำให้เกิดความสงบทางใจ เกิดปัญญา มองเห็นสัจธรรมของโลกและชีวิต จุดสูงสุดของสัจธรรมนี้คือ ความหลุดพ้น ซึ่งแต่ละคนย่อมมีหนทางและแนวทางเป็นของตนเอง
ชีวจิต คืออะไร
ชีวจิต คือ ร่างกายและจิตใจ เป็นวิถีการดำรงชีวิตและการบริโภคที่เน้นความเป็นธรรมชาติ มีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตแบบแมคโครไบโอติค ซึ่งมีการดัดแปลงให้สอดคล้องกับความเป็นอยู่แบบไทย ๆ อาหารชีวจิต เป็นการบริโภคพืชผัก ธัญพืชไม่ขัดสี ผักผลไม้สดตามฤดูกาลไม่ผ่านการปรุงแต่งพืชหัวไม่ปอกเปลือก ดื่มน้ำสะอาดและชาสมุนไพรหรือน้ำผลไม้ งดเนื้อสัตว์ทุกชนิด ยกเว้นปลาและอาหารทะเลบริโภคได้เป็นครั้งคราว งดน้ำตาลฟอกขาว กะทิ นม และไข่ การดำรงชีวิต อยู่ในที่อากาศบริสุทธิ์ไม่แออัด มีชีวิตเรียบง่าย ออกกำลังกายสม่ำเสมอ มีชีวิตที่ยัดธรรมชาติเป็นหลัก มีการฝึกสมาธิเป็นประจำ โดยภาพรวมแล้ว การปฏิบัติตามแนวชีวจิตจะมุ่งเน้นความมีสุขภาพดีทั้งกายและใจ และเข้าใกล้ธรรมชาติมากที่สุด
ชีวจิต เป็นแนวความคิดต่อเรื่องสุขภาพแบบองค์วม(Holistic) คือผนวกรวมเอา "ชีว" ที่หมายถึง "กาย" รวมเข้ากับ "จิต" ที่หมายถึง "ใจ" ให้เป็นสองภาคของชีวิตที่มีผลต่อกันและกันโดยตรง ไม่อาจแยกกายออกจากจิต และจิตย่อมกระทบถึงกายเช่นเดียวกัน ความหมายและการปฏิบัติตัวตามแนวทางของชีวจิต จึงอาจอธิบายได้ว่า คนเราจะมีความสุขความแข็งแรงได้ก็ต่อเมื่อกายและใจทำงานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Wholeness as Perfection)
การใช้ชีวิตให้เป็นไปตามธรรมชาติ บริสุทธิ์ละเรียบง่าย เป็นแก่นความคิดสำคัญอีกประการหนึ่งของชีวจิต ใช้ชีวิตในที่นี้หมายรวมถึง การบริโภคอาหารสุขภาพที่มาจากธรรมชาติและมีการดัดแปลงน้อยที่สุด รวมถึงการบริโภคผลิตภัณฑ์ใดๆที่มาจากธรรมชาติหรือใกล้
เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด เพื่อให้ชีวิตหลุดพ้นจากความยุ่งเหยิงวุ่นวายของสังคมแบบวัตถุนิยมในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคสมัย
ใหม่นานัปการ
แนบเนื่องกับแนวปฎิบัติทางร่างกาย ต้องมีการปฏิบัติทางใจควบคู่ไปด้วย เป้าหมายของการฝึกจิตใจ เป็นไปเพื่อความสงบ เกิด
ปัญญา มองเห็นสัจธรรมของโลกและชีวิต ทั้งนี้การใช้ชีวิตและจิตใจให้เป็นไปตามแนวทางของชีวจิตไม่ใช่เรื่องยุ่งยากซับซ้อน ตรงข้าม
กลับเป็นความพยายามทำชีวิตให้เรีบบง่ายที่สุด แจ่มใสและมีความกลมกลืนกับธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้สุขภาพเกิดความสมดุลและกระตุ้นให้ ภูมิชีวิต (Immune System) ที่เป็นเกราะคุ้มกันสุขภาพตามธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน
ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การจะตรวจสอบว่าตัวเองดำเนินชีวิตได้ใกล้เคียงกับแนวชีวจิตเพียงใด หรือบกพร่องไปเพียงใดนั้น อาจทดสอบได้จากหลักการของ FASJAMM ซึ่งว่าด้วยรูปแบบและอาการต่างๆทางกายและจิต ที่ทำให้บุคคลนั้นๆ มีสุขภาพกายและจิตแตกต่างกันไป
จึงอาจพูดได้ว่า เมื่อระวังรักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอตามแนวคิดของชีวจิต ภูมิชีวิตซึ่งเป็นหมอภายในร่างกายของมนุษย์ก็
ย่อมทำงานได้เต็มหน้าที่ เป็นเครื่องป้องกันด่านแรกที่คุ้มกันเราจากโรคทั้งปวง แต่เมื่อใดก็ตามหากเกิดเหตุสุดวิสัย มีโรคภัยไข้เจ็บเกิดกับร่างกาย การรักษาตามแนวทางของชีวจิต ยังคงยึดหลักของการเยียวยาแบบองค์รวม เช่นเดียวกับการป้องกันในเบื้องต้น วิธีบำบัดหลักๆของชีวจิต ได้ผสมผสานองค์ความรู้และวิธีการต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. ใช้ธรรมชาติเป็นยา
2. ใช้อาหารเป็นยา
3. ใช้แนวทางการแพทย์แบบผสมผสาน
o แผนปัจจุบัน Conventional , Orthodox , Allopathic
o Wholistic (Holistic)
o Macrobiotics
o แบบจีนและการฝังเข็ม
o อายุรเวทและโยคะ
o สมุนไพร
o การนวดกดจุด การนวดฝ่าเท้า และบริหารโดอิน
o แบบอื่นๆ
4. การบริหารและการออกกำลัง (ใช้แบบผสมผสาน)
o โดอิน / โยคะ / นวดกดจุด
o การยืด ส่ง และดัน
o Chiropractic
o การรำตะบอง
10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี
10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี
ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก
1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง
2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว
4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ
6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%
8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย
9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด
10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้
ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ
วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
อาหารล้างพิษที่ทุกคนควรรู้
ขึ้นชื่อว่าอาหารล้างพิษ หลายคนคงนึกว่าหากินได้ยาก แต่อาหารล้างพิษดังต่อไปนี้หากินได้ง่ายแสนง่าย ไปดูกันดีกว่าค่ะว่ามีอะไรบ้าง
สาหร่าย - พืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้าม แต่ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัย McGill ในเมืองมอนทรีออล (Montreal) ประเทศแคนาดาระบุชัดว่า สาหร่ายสามารถดูดซึมของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นรังสีจากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือคลื่นไมโครเวฟ ซึ่งพลังงานความร้อนจากรังสีเหล่านี้ สามารถก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ นอกจากนี้ สาหร่ายยังอุดมไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่จำนวนมาก
หัวหอม - ประกอบด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิด ทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยทำความสะอาดเลือด ลดระดับคอเลสเตอรอล ตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น รักษาโรคหอบ โรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และที่สำคัญคือรักษาโรคเบาหวานได้ โดยช่วยทำให้ระดับน้ำตาลคงที่
มะนาว - สุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ ทั้งยังมีวิตามินซีสูง การดื่มน้ำมะนาวสดผสมกับน้ำอุ่นทุกเช้าหลังตื่นนอน จะสามารถช่วยล้างพิษและทำให้เลือดสะอาดขึ้น แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้ง ก็จะช่วยล้างพิษในลำไส้และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย
กระเจี๊ยบ - น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดแบคทีเรียและไวรัสในระบบทางเดิน ปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออก มีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง
ทับทิม - ตำราแพทย์แผนโบราณของเอเชียกล่าวไว้ว่า การดื่มน้ำทับทิมสามรถรักษาอาการอักเสบและลดความปวดได้ เนื่องจากในทับทิมมีสารแอสไพรินซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกับแอสไพรินในยาแก้ ปวด จึงช่วยล้างพิษ ลด การติดเชื้อของเชื้อโรค และลดอาการอักเสบ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบ ปวดบวม ช้ำ นอกจากนี้ ทับทิมยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยให้ระบบขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายทำงานได้ดีขึ้น
พืชตระกูลถั่ว - ไม่ว่าจะเป็นถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง หรือถั่วขาว ล้วนมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ทั้งยังสามารถลดอัตราความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ มะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมากได้
ขึ้นฉ่าย - สุดยอดอาหารทำความสะอาดเลือดและช่วยลดความดันโลหิต การดื่มน้ำคั้นจากขึ้นฉ่ายสดในตอนเช้าจะช่วยควบคุมระดับแรงดันเลือดให้คงที่ นอกจากนี้ ขึ้นฉ่ายยังประกอบไปด้วยสารต้านการเกิดมะเร็ง รวมไปถึงช่วยขับของเสียจากบุหรี่ในคนที่สูบบุหรี่และผู้ที่ได้รับควันบุหรี่ ด้วย
แครอต - อุดมไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิตามินเอ ช่วยต้านอนุมูลอิสระได้ดีเยี่ยม ปกป้องร่างกายจากสารพิษในสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับระบบทางเดินประสาท สายตา และผิวหนัง ที่ต้องสัมผัสแสงแดดเป็นประจำ
มะเขือพวง - มะเขือพวงอุดมด้วยไฟเบอร์จึงช่วยดูดซึมไขมันในอาหาร ที่สำคัญคือสามารถช่วยจับไขมันอิ่มตัวและขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่ายได้ ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้อย่างรวดเร็ว จึงลดการสะสมของของเสียได้อยู่
ส้มโอ / เกรปฟรุต - คนตะวันตกนิยมกินเกรปฟรุตในอาหารมื้อเช้า เนื่องจากสารเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งในเกรปฟรุต สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทาง เดินในหลอดเลือดได้ ทั้งยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้โลหะหนักทำอันตรายต่อร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งกระเพราะอาหารและมะเร็งตับอ่อนด้วย
กระเทียม - กระเทียมช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับและฆ่าพยาธิ รวมไปถึงไวรัสในทางเดินอาหารได้อย่างดี ทั้งยัง ต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น
บลูเบอร์รี่ - ในบลูเบอร์รี่นั้นมีสารแอสไพรินตามธรรมชาติ ซึ่งสามารถช่วยลดการระคายเคืองได้ นอกจากนี้ การกินบลูเบอร์รี่ยังช่วยขัดขวางแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ส่งการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะลดลง ที่สำคัญคือมีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูงมาก จึงถือเป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารรักษาโรคที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย
กะหล่ำ - ช่วยตับขับฮอร์โมนที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย ทั้งยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร รักษาและปกป้องกระเพราะอาหารจากแบคทีเรียและไวรัสต่างๆ โดยพืชตระกูลกะหล่ำได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี และกะหล่ำปม เป็นต้น
บีตรูต - ผักมหัศจรรย์ที่ประกอบไปด้วยไฟโตเคมีคอล วิตามิน และเกลือแร่หลายชนิด จึงมีคุณสมบัติต่อต้านเชื้อโรค ทำความสะอาดเลือด ทำความสะอาดตับและระบบน้ำเหลือง อีกทั้งยังช่วยให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้กำจัดของเสียได้ง่ายและเร็วขึ้นด้วย และล่าสุดยังพบว่าบีตรูต ช่วยปรับระดับกรด-ด่างในเลือดให้สมดุลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อะโวคาโด - ในอะโวคาโดมีสารกลูตาไทโอน ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิด และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมีและโลหะหนักได้ จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกนพบว่า ผู้สูงอายุที่กินอาหารที่มีสารกลูตาไทโอนเป็นประจำ จะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่ได้กิน และมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์
ตำลึง - ผักใบเขียวที่ขึ้นข้างรั้ว หาง่าย และราคาไม่แพงนี้ มีคุณสมบัติช่วยผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น นอกจากนี้สารที่มีอยู่ในตำลึงยังช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายได้อีกด้วย
แอปเปิล - ประกอบไปด้วยเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่ง ที่ช่วยจับคอเลสเตอรอลและโลหะหนักที่ปะปนมากับอาหาร เช่น ปรอท ตะกั่ว จึงเป็นผลไม้ที่ช่วยล้างพิษได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง รวมทั้งฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสได้
อัลมอนด์ - มีใยอาหาร แคลเซียม และโปรตีนสูง แม้จะมีไขมันแต่ก็เป็นไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกาย การกินอัลมอนด์เป็นประจำจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
กล้วย - หากินได้ง่ายและมีประโยชน์ต่อร่างกายมหาศาล นอกจากอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินเอ วิตามินบี 6 และบี 10 วิตามินซี โปรตีน แคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียม เหล็ก และทองแดงแล้ว กล้วยยังมีคุณสมบัติในการบำรุงและสร้างความแข็งแรงให้กับกระเพาะอาหาร ในขณะเดียวกันสารทริปโตแฟนที่มีอยู่ในกล้วยยังช่วยกระตุ้นการผลิตเซโรโทนิน ซึ่งเป็นสารส่งผ่านประสาทหรือนิวโรทรานสมิตเตอร์ที่ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสงบ ผ่อนคลายมากขึ้น ทริปโตแฟนนี้ยังช่วยขจัดอาการซึมเศร้า ความวิตกกังวล และโรคนอนไม่หลับได้ด้วย อ้อ การกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยป้องกันอาการท้องผูกและทำให้ระบบขับถ่ายเป็น ปกติอีกด้วยนะคะ
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Getty Images
สาหร่าย - พืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้าม แต่ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัย McGill ในเมืองมอนทรีออล (Montreal) ประเทศแคนาดาระบุชัดว่า สาหร่ายสามารถดูดซึมของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นรังสีจากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือคลื่นไมโครเวฟ ซึ่งพลังงานความร้อนจากรังสีเหล่านี้ สามารถก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ นอกจากนี้ สาหร่ายยังอุดมไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่จำนวนมาก
หัวหอม - ประกอบด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิด ทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยทำความสะอาดเลือด ลดระดับคอเลสเตอรอล ตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น รักษาโรคหอบ โรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และที่สำคัญคือรักษาโรคเบาหวานได้ โดยช่วยทำให้ระดับน้ำตาลคงที่
มะนาว - สุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ ทั้งยังมีวิตามินซีสูง การดื่มน้ำมะนาวสดผสมกับน้ำอุ่นทุกเช้าหลังตื่นนอน จะสามารถช่วยล้างพิษและทำให้เลือดสะอาดขึ้น แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้ง ก็จะช่วยล้างพิษในลำไส้และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย
กระเจี๊ยบ - น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดแบคทีเรียและไวรัสในระบบทางเดิน ปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออก มีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง
ทับทิม - ตำราแพทย์แผนโบราณของเอเชียกล่าวไว้ว่า การดื่มน้ำทับทิมสามรถรักษาอาการอักเสบและลดความปวดได้ เนื่องจากในทับทิมมีสารแอสไพรินซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกับแอสไพรินในยาแก้ ปวด จึงช่วยล้างพิษ ลด การติดเชื้อของเชื้อโรค และลดอาการอักเสบ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบ ปวดบวม ช้ำ นอกจากนี้ ทับทิมยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยให้ระบบขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายทำงานได้ดีขึ้น
พืชตระกูลถั่ว - ไม่ว่าจะเป็นถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง หรือถั่วขาว ล้วนมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ทั้งยังสามารถลดอัตราความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ มะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมากได้
ขึ้นฉ่าย - สุดยอดอาหารทำความสะอาดเลือดและช่วยลดความดันโลหิต การดื่มน้ำคั้นจากขึ้นฉ่ายสดในตอนเช้าจะช่วยควบคุมระดับแรงดันเลือดให้คงที่ นอกจากนี้ ขึ้นฉ่ายยังประกอบไปด้วยสารต้านการเกิดมะเร็ง รวมไปถึงช่วยขับของเสียจากบุหรี่ในคนที่สูบบุหรี่และผู้ที่ได้รับควันบุหรี่ ด้วย
แครอต - อุดมไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิตามินเอ ช่วยต้านอนุมูลอิสระได้ดีเยี่ยม ปกป้องร่างกายจากสารพิษในสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับระบบทางเดินประสาท สายตา และผิวหนัง ที่ต้องสัมผัสแสงแดดเป็นประจำ
มะเขือพวง - มะเขือพวงอุดมด้วยไฟเบอร์จึงช่วยดูดซึมไขมันในอาหาร ที่สำคัญคือสามารถช่วยจับไขมันอิ่มตัวและขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่ายได้ ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้อย่างรวดเร็ว จึงลดการสะสมของของเสียได้อยู่
ส้มโอ / เกรปฟรุต - คนตะวันตกนิยมกินเกรปฟรุตในอาหารมื้อเช้า เนื่องจากสารเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งในเกรปฟรุต สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทาง เดินในหลอดเลือดได้ ทั้งยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้โลหะหนักทำอันตรายต่อร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งกระเพราะอาหารและมะเร็งตับอ่อนด้วย
กระเทียม - กระเทียมช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับและฆ่าพยาธิ รวมไปถึงไวรัสในทางเดินอาหารได้อย่างดี ทั้งยัง ต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น
บลูเบอร์รี่ - ในบลูเบอร์รี่นั้นมีสารแอสไพรินตามธรรมชาติ ซึ่งสามารถช่วยลดการระคายเคืองได้ นอกจากนี้ การกินบลูเบอร์รี่ยังช่วยขัดขวางแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ส่งการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะลดลง ที่สำคัญคือมีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูงมาก จึงถือเป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารรักษาโรคที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย
กะหล่ำ - ช่วยตับขับฮอร์โมนที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย ทั้งยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร รักษาและปกป้องกระเพราะอาหารจากแบคทีเรียและไวรัสต่างๆ โดยพืชตระกูลกะหล่ำได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี และกะหล่ำปม เป็นต้น
บีตรูต - ผักมหัศจรรย์ที่ประกอบไปด้วยไฟโตเคมีคอล วิตามิน และเกลือแร่หลายชนิด จึงมีคุณสมบัติต่อต้านเชื้อโรค ทำความสะอาดเลือด ทำความสะอาดตับและระบบน้ำเหลือง อีกทั้งยังช่วยให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้กำจัดของเสียได้ง่ายและเร็วขึ้นด้วย และล่าสุดยังพบว่าบีตรูต ช่วยปรับระดับกรด-ด่างในเลือดให้สมดุลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อะโวคาโด - ในอะโวคาโดมีสารกลูตาไทโอน ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิด และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมีและโลหะหนักได้ จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกนพบว่า ผู้สูงอายุที่กินอาหารที่มีสารกลูตาไทโอนเป็นประจำ จะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่ได้กิน และมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์
ตำลึง - ผักใบเขียวที่ขึ้นข้างรั้ว หาง่าย และราคาไม่แพงนี้ มีคุณสมบัติช่วยผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น นอกจากนี้สารที่มีอยู่ในตำลึงยังช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายได้อีกด้วย
แอปเปิล - ประกอบไปด้วยเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่ง ที่ช่วยจับคอเลสเตอรอลและโลหะหนักที่ปะปนมากับอาหาร เช่น ปรอท ตะกั่ว จึงเป็นผลไม้ที่ช่วยล้างพิษได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง รวมทั้งฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสได้
อัลมอนด์ - มีใยอาหาร แคลเซียม และโปรตีนสูง แม้จะมีไขมันแต่ก็เป็นไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกาย การกินอัลมอนด์เป็นประจำจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
กล้วย - หากินได้ง่ายและมีประโยชน์ต่อร่างกายมหาศาล นอกจากอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินเอ วิตามินบี 6 และบี 10 วิตามินซี โปรตีน แคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียม เหล็ก และทองแดงแล้ว กล้วยยังมีคุณสมบัติในการบำรุงและสร้างความแข็งแรงให้กับกระเพาะอาหาร ในขณะเดียวกันสารทริปโตแฟนที่มีอยู่ในกล้วยยังช่วยกระตุ้นการผลิตเซโรโทนิน ซึ่งเป็นสารส่งผ่านประสาทหรือนิวโรทรานสมิตเตอร์ที่ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสงบ ผ่อนคลายมากขึ้น ทริปโตแฟนนี้ยังช่วยขจัดอาการซึมเศร้า ความวิตกกังวล และโรคนอนไม่หลับได้ด้วย อ้อ การกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยป้องกันอาการท้องผูกและทำให้ระบบขับถ่ายเป็น ปกติอีกด้วยนะคะ
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Getty Images
การดูแลผิวหน้า
6 เทคนิคการดูแลผิวหน้าด้วยผลไม้
September 24, 2009 โดย Rainbow
บทความในหมวดหมู่ : เคล็ดลับหน้าใส
ทุกวันนี้ผิวโดนทำร้ายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด หรือมลภาวะต่างๆ ถึงเวลา Back to the nature เพิ่มเติมความสดใสคืนสู่ผิวกันแล้วนะจ๊ะ สำหรับหนุ่มสาวที่อยากหน้าใสสวยเด้ง ฟังทางนี้ โบว์ มี 6 สูตรมาร์คหน้าง่ายๆ ที่จะทำให้หน้าขาวใส มาฝากกันโดยใช้ผลไม้มาเป็นส่วนประกอบหลัก
1.สูตรหน้าใสด้วยน้ำผึ้งผสมมะนาว
ส่วนผสม: น้ำผึ้ง 1 ถ้วย
น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
วิธีทำ: ผสมน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวให้เข้ากัน นำมานวดให้ทั่วใบหน้าประมาณ 15 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด
มะนาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเช่นเดียวกับครีมที่ผสมกรด AHA ส่วนน้ำผึ้งจะทำให้ผิวหน้านุ่มและชุ่มชื้น
2. สูตรหน้าใสด้วยแอปเปิ้ล
ส่วนผสม: แอปเปิ้ล ปอกเปลือกแล้วคว้านเอาเฉพาะเนื้อ
น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: นำเนื้อแอปเปิ้ลมาปั่นรวมกับน้ำผึ้ง ทาให้ทั่วใบหน้าแล้วนวดเบาๆ ทิ้งไว้ 15 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำเย็น
สูตรนี้จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ทำให้ใบหน้าดูสดใสเปล่งปลั่ง อีกด้วย
3. สูตรกระชับรูขุมขน
ส่วนผสม: กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศ เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งปอกเปลือก เอาเมล็ดออกให้หมดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
น้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยว
วิธีทำ: ใช้กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศก็ได้ เติมน้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยว นำไปปั่นให้ละเอียดจนเป็นเนื้อครีม นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น
สูตรนี้จะ ช่วยทำความสะอาดใบหน้า และกระชับรูขุมขนและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น
4. สูตรครีมทำความสะอาดผิวหน้า (Cleanser)
ส่วนผสม: โยเกิร์ต ½ ถ้วย
น้ำมันดอกทานตะวัน
มะนาวสด1½ ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: ผสมโยเกิร์ต น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมะนาวสดให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วหน้าประมาณ 5 นาที ทุกเช้าและก่อนนอน แล้วจึงล้างออก ด้วยน้ำสะอาด
สูตรนี้ใช้ได้กับทุกสภาพผิว จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึก และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วย
5. สูตรสาวผิวแห้ง มอยเจอร์ไรเซอร์จากกล้วย
ส่วนผสม: กล้วย 1 ผล
น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: บดกล้วยกับน้ำผึ้ง ผสมให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น
สูตรนี้เหมาะกับผิวแห้ง
6. สูตรพอกหน้าใสจากแตงกวา
ส่วนผสม: แตงกวา 1 ผล หั่นแตงกวาเป็น ชิ้นบางๆ
ไข่ไก่ 1 ฟอง(ใช้เฉพาะไข่ขาว)
น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: นำแตงกวา ไข่ไก่(ใช้เฉพาะไข่ขาว)และมะนาว ไปปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยกระชับรูขุมขน ผิวหน้าจะ ดูเนียนเรียบและชุ่มชื้น
เหมาะสำหรับผิวมันและผิวผสม
Tips:
ผลไม้ที่ใช้ต้องสด มีคุณภาพดี
ภาชนะที่ใช้ใส่ผลไม้ ส่วนผสมต่างๆ ควรใช้แก้วหรือกระเบื้อง
ก่อนทำการพอกหน้า ควรทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาด โดยการอัง ใบหน้ากับไอน้ำและนวดเบาๆ เพื่อเปิดรูขุมขน
เวลาพอกหน้าไม่ควรพูดคุยหรืออ่านหนังสือ
September 24, 2009 โดย Rainbow
บทความในหมวดหมู่ : เคล็ดลับหน้าใส
ทุกวันนี้ผิวโดนทำร้ายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด หรือมลภาวะต่างๆ ถึงเวลา Back to the nature เพิ่มเติมความสดใสคืนสู่ผิวกันแล้วนะจ๊ะ สำหรับหนุ่มสาวที่อยากหน้าใสสวยเด้ง ฟังทางนี้ โบว์ มี 6 สูตรมาร์คหน้าง่ายๆ ที่จะทำให้หน้าขาวใส มาฝากกันโดยใช้ผลไม้มาเป็นส่วนประกอบหลัก
1.สูตรหน้าใสด้วยน้ำผึ้งผสมมะนาว
ส่วนผสม: น้ำผึ้ง 1 ถ้วย
น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
วิธีทำ: ผสมน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวให้เข้ากัน นำมานวดให้ทั่วใบหน้าประมาณ 15 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด
มะนาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเช่นเดียวกับครีมที่ผสมกรด AHA ส่วนน้ำผึ้งจะทำให้ผิวหน้านุ่มและชุ่มชื้น
2. สูตรหน้าใสด้วยแอปเปิ้ล
ส่วนผสม: แอปเปิ้ล ปอกเปลือกแล้วคว้านเอาเฉพาะเนื้อ
น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: นำเนื้อแอปเปิ้ลมาปั่นรวมกับน้ำผึ้ง ทาให้ทั่วใบหน้าแล้วนวดเบาๆ ทิ้งไว้ 15 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำเย็น
สูตรนี้จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ทำให้ใบหน้าดูสดใสเปล่งปลั่ง อีกด้วย
3. สูตรกระชับรูขุมขน
ส่วนผสม: กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศ เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งปอกเปลือก เอาเมล็ดออกให้หมดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
น้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยว
วิธีทำ: ใช้กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศก็ได้ เติมน้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยว นำไปปั่นให้ละเอียดจนเป็นเนื้อครีม นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น
สูตรนี้จะ ช่วยทำความสะอาดใบหน้า และกระชับรูขุมขนและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น
4. สูตรครีมทำความสะอาดผิวหน้า (Cleanser)
ส่วนผสม: โยเกิร์ต ½ ถ้วย
น้ำมันดอกทานตะวัน
มะนาวสด1½ ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: ผสมโยเกิร์ต น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมะนาวสดให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วหน้าประมาณ 5 นาที ทุกเช้าและก่อนนอน แล้วจึงล้างออก ด้วยน้ำสะอาด
สูตรนี้ใช้ได้กับทุกสภาพผิว จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึก และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วย
5. สูตรสาวผิวแห้ง มอยเจอร์ไรเซอร์จากกล้วย
ส่วนผสม: กล้วย 1 ผล
น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: บดกล้วยกับน้ำผึ้ง ผสมให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น
สูตรนี้เหมาะกับผิวแห้ง
6. สูตรพอกหน้าใสจากแตงกวา
ส่วนผสม: แตงกวา 1 ผล หั่นแตงกวาเป็น ชิ้นบางๆ
ไข่ไก่ 1 ฟอง(ใช้เฉพาะไข่ขาว)
น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: นำแตงกวา ไข่ไก่(ใช้เฉพาะไข่ขาว)และมะนาว ไปปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยกระชับรูขุมขน ผิวหน้าจะ ดูเนียนเรียบและชุ่มชื้น
เหมาะสำหรับผิวมันและผิวผสม
Tips:
ผลไม้ที่ใช้ต้องสด มีคุณภาพดี
ภาชนะที่ใช้ใส่ผลไม้ ส่วนผสมต่างๆ ควรใช้แก้วหรือกระเบื้อง
ก่อนทำการพอกหน้า ควรทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาด โดยการอัง ใบหน้ากับไอน้ำและนวดเบาๆ เพื่อเปิดรูขุมขน
เวลาพอกหน้าไม่ควรพูดคุยหรืออ่านหนังสือ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
บทความที่ได้รับความนิยม
-
พูดถึงเสื้อชั้นใน หรือ Brassiere แล้ว ท่านสุภาพสตรีทุกท่านคงรู้จักกันดี ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่สิ่งที่จะใส่โชว์เหมือนเครื่องแต่งกายอื่นๆ แต่ก็...